เพียงเรื่องเล่า

คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ฉบับวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๙


เด็กชายตัวน้อยเฝ้าคอยวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามาด้วยใจจดจ่อ เมื่อวันนั้นจะมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างงดงามดังหวัง เสียงเพลงเสียงระฆังดังกังวาน ทุกหนแห่งประดับประดาด้วยดวงไฟและริบบิ้นแดงเขียว หิมะโปรยละอองขาวบางปกคลุมไปทั่ว เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เจ้าหนูรอคอย คุณลุงใจดีในชุดสีแดงผู้มีชื่อว่าซานตาคลอส

ในระหว่างขับรถจักรยานเที่ยวเล่นไปตามถนนในหมู่บ้านกับพี่สาว เจ้าหนูบอกเล่าถึงการมาเยือนของลุงซานต้าให้เธอฟังอย่างตื่นเต้น ทว่าเธอพลันหัวเราะเยาะตอบน้องชายวัยเก้าขวบว่า

“มีซานตาคลอสซะที่ไหน แค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้นแหละ ใครๆ ก็รู้”

ราวกับถูกปลุกตื่นจากฝันหวาน เจ้าหนูรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลา ต้นคริสต์มาสประดับดาวและตุ๊กตาดูเหงาหงอย ความร่าเริงสดใสในท่วงทำนองเพลงหายไป

เจ้าหนูทนเก็บความอึดอัดสงสัยว่าซานตาคลอสนั้นมีจริงหรือไม่เอาไว้จนเกือบค่ำ ขณะกำลังทานขนมอบเชยรสหอมหวานฝีมือคุณยาย จึงได้เอ่ยปากถามยาย ผู้ที่จะบอกเขาแต่ความจริงเสมอ ยายขมวดคิ้วก่อนตอบว่า

“ข่าวลือนี่มีมานานหลายปีแล้วนะ เอาล่ะ งั้นเราออกไปข้างนอกกัน”

“ไปไหนครับคุณยาย?”

คุณยายขับรถพาหลานตัวน้อยไปยังห้างสรรพสินค้า มอบเงินให้สิบเหรียญและปล่อยเขาอยู่ตามลำพัง บอกเพียงว่า

“หลานเอาเงินนี้ไปซื้อของขวัญนะ อะไรก็ได้ไปมอบให้คนที่หลานคิดว่าเขาควรจะได้รับ”

เจ้าหนูลังเลนิ่งคิดอยู่สักครู่ใหญ่ ด้วยไม่คุ้นเคยกับการซื้อของโดยลำพัง เขานึกถึงเพื่อนไปทีละคน แล้วก็นึกถึงบ๊อบบี้ เพื่อนผู้ไม่เคยลงไปเล่นหิมะกับเพื่อนๆ ที่สนามในช่วงพักกลางวัน บ๊อบบี้บอกครูว่าเขายังไอและไม่หายจากหวัด แต่ทุกคนต่างรู้ว่าสาเหตุจริงๆ คือครอบครัวของบ๊อบบี้ยากจน ไม่มีรายได้มากพอซื้อเสื้อโค้ทกันหนาวให้ใส่

คิดได้ดังนั้นแล้ว เจ้าหนูจึงตัดสินใจซื้อเสื้อโค้ทกันหนาวตัวหนึ่งให้เป็นของขวัญแก่เพื่อนคนนี้ ระหว่างช่วยกันห่อของขวัญ คุณยายยังแนะนำให้เขาเขียนการ์ดแนบไว้ ข้อความว่า “สำหรับบ๊อบบี้ จาก ซานต้า”

คุณยายยังบอกด้วยว่า “เอาล่ะ ตอนนี้หลานได้เป็นทีมซานตาคลอสแล้วนะ และจะเป็นตลอดไป”

ท่ามกลางอากาศหนาวและหิมะในคืนก่อนวันคริสต์มาส สองยายหลานขับรถไปยังบ้านของบ๊อบบี้ เจ้าหนูวางของขวัญไว้หน้าประตูบ้าน เคาะประตูเรียก แล้ววิ่งผลุบเข้าไปหลบในพุ่มไม้ทันก่อนที่บ๊อบบี้จะเปิดประตูออกมา เมื่อเขาหยิบกล่องของขวัญขึ้นและจ้องดูการ์ด เจ้าหนูก็ได้เห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อน เห็นความสุข ความฝันและความหวังบนใบหน้าและดวงตาคู่นั้น

จนบัดนี้ผ่านมาแล้วถึง ๔๐ ปีเขาก็ยังไม่เคยลืม

. . . . . . . . . . .

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าในวัยเด็กของชายผู้หนึ่ง เรื่องของเขาอยู่ในอีเมลที่ส่งต่อๆ กันมา เรื่องเล่าธรรมดาสามัญแต่มีเนื้อหาที่จับใจนี้ ไม่เพียงทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งและประทับใจไปกับเหตุการณ์จนอดใจไม่ได้ ต้องส่งต่อไปให้คนอื่น หากเรื่องราวนี้ยังถ่ายทอดบอกเล่ากระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาอย่างเรียบง่ายอีกด้วย

กระบวนการเรียนรู้ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร? กล่าวคือ เมื่อคุณยายพบกับคำถามว่าซานตาคลอสมีจริงหรือ ท่านไม่ได้พยายามอธิบายให้เชื่อ หรือยกเอาเหตุผลใดมากล่าวอ้าง ไม่แม้แต่บอกปัดการตอบคำถามหลานตัวน้อย คุณยายเลือกใช้วิธีสร้างโอกาสให้หลานมีประสบการณ์โดยตรงกับเรื่องซานตาคลอส

การได้เผชิญกับเรื่องราวด้วยตัวเอง ได้มีประสบการณ์ตรงนี้เอง ทำให้หลานเกิดความเข้าใจด้วยใจ ไม่ใช่เข้าใจเพราะต้องเชื่อคล้อยตามผู้ใหญ่ หรือเชื่อเพราะเกรงกลัวไม่กล้าขัดแย้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เต็มไปด้วยคุณค่าและความหมายต่อชีวิตตนเองและผู้อื่นเช่นนี้ แม้คุณยายจะสามารถอธิบายแจกแจงเหตุผลให้เชื่อได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างความลึกซึ้งลงในใจของหลาน

การมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งของการเรียนรู้ในแบบจิตตปัญญาศึกษา เพราะความเข้าใจในหลายเรื่องไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการฟัง แต่ต้องได้ปฏิบัติทดลองทำเอง จึงจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ได้ท่องจำ เป็นความเข้าใจที่มาจากการเกิดปัญญา

ผู้สอนไม่ได้ทำหน้าที่จดจำความรู้มาถ่ายทอดตามตัวอักษร และผู้เรียนไม่ได้มีหน้าที่จดจำรายละเอียดให้ได้ครบถ้วนมากที่สุด คุณยายไม่ได้บอกให้หลานเชื่อเรื่องซานตาคลอส และหลานก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามไปทุกอย่าง ฉันใดก็ฉันนั้น

สิ่งสำคัญอีกประการของการเรียนรู้จึงได้แก่ การได้คิดอย่างใคร่ครวญลึกซึ้ง ดังเช่นคุณยายปล่อยให้เจ้าหนูได้คิดและตัดสินใจว่าควรจะให้ของขวัญอะไรแก่ใคร สร้างโอกาสให้เขาได้ตรึกตรองด้วยตนเอง ได้เห็นประโยชน์ของเงินที่จะสร้างความสุขให้แก่ผู้อื่น เจ้าหนูผู้เรียนมิได้ตัดสินใจด้วยหลักเหตุผลเท่านั้น หากยังมีทั้งความเมตตาเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของเพื่อน

และเมื่อเพื่อนได้รับของขวัญนั้น ความรู้สึกตื้นตันเปี่ยมสุขก็กลับคืนสู่ผู้ให้ ความประทับใจและความเข้าใจในคุณค่าของการให้จึงจับใจมาตลอด ๔๐ ปีไม่จางหายไปไหน

. . . . . . . . . . .

เรื่องราวในอีเมลส่งต่อกันนี้ เราเองอาจจะไม่ได้รู้แน่ชัดหรือได้คำตอบว่าซานตาคลอสมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ เพราะคำถามนั้นหาใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป สิ่งที่ค้นพบเมื่อได้เรียนรู้เข้าไปในใจของเรานั่นคือความรักต่อผู้อื่นต่างหากที่เป็นคุณค่าและความหมายที่แท้ของซานตาคลอส

ตัวเราเองเล่า จะเลือกทำความเข้าใจและตัดสินเรื่องราวต่างๆ ในโลกจากเรื่องเล่าของผู้อื่น เหมือนดังพี่สาวบอกเจ้าหนูว่าซานตาคลอสไม่มีอยู่จริง หรือจะลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เห็นโลกในอีกมุมมองจากการสัมผัสด้วยใจ ดังที่คุณยายให้หลานชายได้ค้นหาจนพบกับซานตาคลอสที่อยู่ในใจของเขาเอง

ในระลอกคลื่น

คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ฉบับวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๙


หลังจากตัดสินใจชั่วครู่ เขาก็หยิบสมุดวาดเขียนเล่มโต รวบพู่กันและกล่องสีน้ำใส่ลงถุงผ้า แล้วเดินทางออกจากมหานครในยามฟ้าสาง เขาขับรถราวกับไร้จุดหมายที่แน่ชัด เพียงปล่อยให้ร่างกายบังคับพาหนะวิ่งไปตามทาง รักษาระดับความเร็ว ตามติดยวดยานนานาชนิดที่อยู่เบื้องหน้า ให้ทางและหลบหลีกรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูงกว่า ประสาทสัมผัสในกายถูกนำมาใช้เพียงส่วนน้อยเพื่อการนี้

สิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาตอนนี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ไม่ใช่การเฝ้าระวังสังเกตป้ายบอกทางดังเช่นเพื่อนร่วมทางคันอื่น เขากลับนึกถึงงานจำนวนมากในตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บางงานก่อปัญหาจุกจิกไม่รู้จบ ลูกค้าบางคนร้องเรียนถึงปัญหาที่ไม่คาดคิด ผิวจราจรที่ยังว่าง ทัศนวิสัยบนท้องถนนที่ค่อนข้างโล่ง ถูกถมลงด้วยตัวเลข วิธีการจัดการปัญหาและการกระจายมอบหมายงาน พื้นที่ว่างเหล่านั้นถูกใส่งานไปจนเต็ม

ตลอดสองชั่วโมงเศษของการขับรถมายังบ้านพักตากอากาศ เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการทำงานนอกสถานที่ แค่เปลี่ยนจากการคิดที่โต๊ะทำงานมาเป็นการคิดในยานพาหนะเท่านั้น บางช่วงเขานึกเสียดายที่ไม่ได้คว้าเครื่องคิดเลขมาวางไว้ใกล้ตัว ตอนตัวเลขโผล่แวบขึ้นมาในหัวเลยไม่ทันบันทึก หรือเอาไปคิดต่อได้

การขับรถกลายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ขวางไม่ให้ทำงานได้สำเร็จ

ที่สุดกว่าจะยอมรับได้ว่าไม่สามารถใช้ความคิดหาข้อสรุปให้แก่งาน ต่อเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่หมายริมชายทะเลแล้ว ระหว่างหอบหิ้วสัมภาระลงจากรถ เขาก็หักใจไม่คิด แต่อดหงุดหงิดรำคาญไม่ได้

เขาเลือกการเดินทางครั้งนี้ เพื่อใช้งานอดิเรกเป็นเครื่องมือผ่อนคลายความเครียดจากงาน ประมาณว่าย้ายสถานที่หาอะไรอย่างอื่นทำน่าจะดีกว่าทนทำงานบนโต๊ะต่อไปที่รังแต่จะสร้างความกดดันและบีบคั้นมากขึ้น

ทันทีที่วางกระเป๋า สองมือก็คว้าสมุดและอุปกรณ์ สองเท้าย่างไปบนทราย สองตามองหาร่มไม้ทำเลเหมาะ หวังว่างานอดิเรกที่เรื้อร้างมานานจะช่วยขับไล่บรรยากาศเครียดเขม็งในใจ จะช่วยเปิดไปสู่ความผ่อนคลาย ให้สมกับภาพฟ้าสีคราม และผืนแผ่นน้ำสะท้อนล้อกันและกันไปจนสุดสายตา

พลันที่กางสมุดออก กระดาษปอนด์สีขาวทั้งด้านซ้ายและขวาปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาก็มองเห็นภาพภูมิทัศน์นี้ถูกย่นย่อลงบนกระดาษ เขามีความรู้ว่าควรจะใช้สีน้ำเงินอ่อนเข้มมากน้อยอย่างไรเพื่อให้ใกล้เคียงกับฟ้าครามของน้ำทะเลลึก หรือฟ้าอมเขียวของผิวทะเลใกล้ฝั่ง มือของเขาก็เคยแต่งแต้มแผ่นกระดาษให้เต็มไปด้วยสีสันมาแล้วหลายครั้ง สิ่งที่ต้องทำต่อไปมีเพียงเฝ้ามอง จับสังเกต ถ่ายทอดระบายลงสมุดภาพ

ทว่าคลื่นที่ทยอยซัดสู่ฝั่งยังไม่ช่วยปลดปล่อยเขาออกจากงานประจำได้ เขามองน้ำทะเลพยายามจับลักษณะเด่นเพื่อวาดภาพให้ออกมาสวย ใช้ก้านพู่กันกะระยะให้ดี เริ่มขมวดคิ้วเมื่อผลงานไม่เป็นดังใจหวัง และแล้วเขากลับเห็นปัญหาจุกจิกในงานม้วนพันมากับยอดคลื่นตรงหน้า เห็นข้อร้องเรียนของลูกค้าอยู่ในเกลียวคลื่นแล้วกระจายออกเป็นฟองรำคาญนับร้อย พริบตานั้นเหมือนโลกตรงหน้าไม่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าอยู่ ณ พิกัดไหนเขายังคงเห็นแต่ปัญหาเดิมและรับรู้ว่ามีงานอันน่าหนักใจตามไปไม่รู้จบ งานอดิเรกเกือบจะกลายเป็นอีกหนึ่งภาระกดทับ

เขาถอนใจ วางความรู้เรื่ององค์ประกอบศิลป์และหลักการใช้สีลง เลิกพยายามวาดภาพให้สมจริงหรือสวยงาม ปล่อยให้มือและหัวใจละเลงสีตามแต่จะเป็นไป สายตาเขาจับจ้องไปตามคลื่นแต่ละระลอก คลื่นใหญ่น้อยค่อยนำเขาสู่ฝั่ง พากระทบทรายชายหาดครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเขาเริ่มรับรู้ถึงน้ำทะเลที่แตกกระจาย ซึมลงผิวทรายไหลผ่านระหว่างอณูทรายแต่ละเม็ด ใจเขาก็ค่อยออกห่างจากความคิดในงานทั้งหมด และรู้สึกถึงความสงบที่เริ่มเกิดขึ้นในใจ

ความจดจ่อในใจยามนี้มีแต่ทราย น้ำและฟ้าตรงหน้า เขาสะท้อนมันออกมาเป็นเส้นสีพลิ้วไหวทั่วแผ่นกระดาษ เมื่อสภาพความสงบแผ่ขยายพื้นที่ในใจ ในหัวกลับไม่มีความคิดหลายเรื่องแกว่งกระทบกันไปมาเหมือนช่วงเช้า ในสภาพนี้ เขารู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย ไม่เพียงแต่ผ่อนคลายจากความเครียดความกดดัน หากเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าต้นเหตุความเครียดเหล่านั้นมีความสำคัญต่อเขาเพียงนั้นได้อย่างไร

หลายเรื่องที่วนเวียนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เช้าดูจะเบาบางลง ปัญหาที่เคยซับซ้อนจนไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้จากจุดไหนก่อน ก็ดูมีความเป็นไปได้มากขึ้น ข้อร้องเรียนของลูกค้าที่ดูร้ายแรงสาหัสก็พอจะเห็นว่ายังมีหนทางเจรจากันได้

มองย้อนกลับไปตั้งแต่รุ่งเช้า เขาได้บทเรียนว่าการหลบออกมาทำงานอดิเรกไม่ช่วยแก้เครียด เพราะเขาเกือบทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเครียดไป สภาพนั้นเกิดขึ้นเมื่อเขาพยายามกะเกณฑ์และจับทุกอย่างใส่ตามที่อยากเห็นอยากให้เป็น ครั้นพอใจสงบลง เริ่มว่างออกจากการคิดจัดการ เมื่อใจวางทุกอย่างลงได้ ทุกเรื่องก็ดูเป็นของง่ายขึ้น ความใสกระจ่างของใจช่วยให้คำตอบต่อทุกคำถาม

แน่นอนว่างานยุ่งเหยิงยังรอเขาสะสาง แต่จะไม่ยุ่งไปกว่าเดิมและจะไม่มีแรงกดหนักระดับเดิมอีก การที่เขาอยู่กลางวงล้อมของปัญหา ทุกเรื่องใหญ่น้อยเป็นคลื่นโถมเข้าใส่ไม่หยุด ตลอดหลายชั่วโมงนั้น หัวใจและความคิดของเขาไม่นิ่ง แต่แกว่งไปตามแรงปะทะของงาน ความรู้เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่เขาใช้รับมือกับคลื่นปัญหาที่ดาหน้ามาไม่หยุด กระทั่งวิธีหันหลังให้ก็ไม่ได้ดีขึ้น เพราะใจยังรับเอาความแรงของคลื่นนั้นไว้

ต่อเมื่อระลอกคลื่นของทะเลพาให้ใจสงบลง กระจ่างใจพอได้มองเรื่องเดิม มองห่างออกจากวงล้อมของปัญหาเดิม จึงได้พบว่าธรรมชาติและงานวาดไม่เพียงคลายเครียด แต่เป็นอีกความรู้หนึ่งซึ่งช่วยให้เขาเข้าถึง เข้าใจและรับมือกับปัญหาได้เช่นกัน

Huckabees Superstore

เพิ่งไปห้าง Huckabees มาหมาดๆ ความรู้สึกยังนั่งขมวดคิ้วหัวร่ออยู่ข้างๆ ก่อนที่เขาจะผลุนผลันลุกจากไป ผมจับเข่าคุยแล้วเอามาเล่าสู่กันฟัง เริ่มจากความขอบคุณที่เอ๋ได้แนะนำ ก่อนหน้านั้น กลุ่มคุยถึง What The Bleep Do We Know? (อันได้ข่าวจาก Bioscope ว่ามีค่ายหนังของไทยซื้อลิขสิทธิ์เตรียมลงโรงแล้ว แต่นั่นก็ปีกว่าผ่านไป) ไม่เพียงแนะนำยังหยิบแผ่นมาให้ ดูแล้วก็โดน ♥จริงๆ


ภารกิจช็อปปิ้งในห้างเริ่มจากความสงสัยเล็กๆ ว่าอะไรคือความบังเอิญ นำไปสู่ปมในใจของตัวละครหลักสองคน ต่างที่มาต่างความคิดต่างพฤติกรรม และต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากัน (แน่นอน เขาแสดงออกต่อกันต่างกัน) งานตกแต่งในห้างไม่ได้สวยหรู จัดแสงเงาบอกอารมณ์ หรือจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสิ่งต่างๆ สื่อความหมาย ไม่เลย เรียบง่ายธรรมดาทั่วไป บทสนทนาเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุด เร็ว สั้น หลายครั้งเข้าข่ายย้ำคำด้วยซ้ำ แต่กินความหมายลึก และมีความหมายต่างกันออกไปในใจลูกค้า


หนังที่ออกฉายไปเมื่อสองปีที่แล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จในทางรายได้และคำวิจารณ์เรื่องนี้ ทำให้คนดูมีสถานภาพเป็นลูกค้าที่เดินชมห้าง บางคนตั้งท่าแต่ต้นว่าจะไปแผนกไหน ครั้นพอย่างก้าวเดินสอดส่ายสายตาไปสักพัก ยังหาแผนกสินค้าที่ต้องการไม่เจอ ลูกค้าหลายรายคงถอดใจหันหลังกลับออกไปจากห้างนี้เสียเลย บางคนเคยได้ใบปลิวแผ่นพับมาก่อนหน้านี้แล้ว อาจจะช่วยให้เลือกซื้อหยิบหาสินค้าได้ง่ายขึ้น แต่ลูกค้าก็มาพร้อมกับความคาดหวังถึงคุณภาพและราคาเอาไว้ในใจเรียบร้อย ถ้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหวังไว้ก็สุขใจกลับไป ในทางกลับกันสินค้าบนชั้นวางสู้ไม่ได้เลยกับภาพในใจ ภาพที่เคยได้มาจากใบปลิวหรือผ่านตาในห้างอื่นและสร้างขึ้นเป็นภาพสินค้าใหม่ในใจลูกค้า
ไม่น่าแปลกใจที่เสียงวิจารณ์และการกล่าวขวัญถึงหนังแต่ละเรื่องเป็นไปหลากหลาย ถ้านี่คือหนึ่งในหนังที่คุณชอบมาก ผมก็รู้สึกเหมือนได้เดินห้างคนเดียวในคืนมิดไนท์เซลส์ลดกระหน่ำ สำหรับห้างนี้ ลูกค้าที่มองหาความงามด้านภาพและมุมกล้องคงแวะมาสักครั้งเดียว คนดูที่ชอบสวนสนุกสวนน้ำเกมอาเขตคงหลับไม่กลับมาชมอีก มิน่าเล่าบางห้างทำไมยังขายดีอยู่ได้ทั้งที่ไม่ได้พยายามทำตัวเหมือนห้างแถวสยาม ลาดพร้าวหรือบางกะปิ


สิ่งต่างๆ เชื่อมโยงถึงกันบนผืนจักรวาลเดียว ความต่างที่มีคือความเหมือนเดียวกัน Huckabees มีขายทุกอย่างจริงๆ นะ ถ้าคุณชอบห้างนี้อย่างที่ห้างนี้เป็น ไม่ได้คาดหวังว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ควรจะต้องสวยงามทุกวัน ควรจะดูดีในสายตาคนอื่นๆ ตลอดเวลา ฯลฯ

Growing child

ผมใช้เวลานานเอาการกว่าจะเข้าใจด้วยใจในคำว่า"ไม่สามารถแยกผู้สังเกตออกจากสิ่งที่ถูกสังเกตได้"

ภาพยนตร์หลายเรื่องนำสู่การแลกเปลี่ยนทัศนะไปจนถึงระดับถกเถียงว่าด้วยคุณค่าความดีในแง่มุมต่างๆ ของมัน แม้แต่ในวงของคนที่มีพื้นเพพื้นฐานใกล้เคียงกันก็ยังไม่อาจให้ความเห็นตรงกันเป็นเนื้อเดียวได้ ส่วนภาพยนตร์อีกจำนวนหนึ่งกลับไม่ก่อให้เกิดการสนทนาโต้ตอบของผู้ชมหลังฉายจบ ความเชื่อและคุณค่าที่ผมให้กับภาพยนตร์ที่ดี คือภาพยนตร์ที่ดูแล้วทำให้เกิดงอกเงยทางความคิด ความรู้สึก แรงบันดาลใจ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน หลายเรื่องจึงดูดีขึ้นอีกมากเมื่อเราได้เรียนจากเพื่อนร่วมโรง(หนัง)หลังฉายจบ เพราะมันทำให้เราได้เห็นฉากชีวิตต่างๆ อีกมากมายจากโรงหนังเดินได้แต่ละรายตรงหน้า

ชีวิตว่าด้วยชายผู้ด้อยวุฒิภาวะ ตัดสินใจสิ่งใดในชีวิตโดยยึดเอาการอยู่รอดและความสุขเฉพาะหน้าเป็นตัวแปรหลัก เมื่อเขามีสถานภาพเป็นพ่อในทางกายภาพและชีวภาพเพราะแฟนสาวให้กำเนิดบุตรชาย เขาจึงยังไม่ถึงพร้อมในความรับผิดชอบเยี่ยงพ่อ จนกระทั่งวันที่เขาได้เริ่มรู้ว่า บางสิ่งที่อุบัติขึ้นในชีวิตเขานั้น ได้ทรงคุณค่าต่อห่วงโซ่ความสัมพันธ์ของเขาอย่างไร ภารกิจกลับไปติดตามหาเด็กกลับคืนมาเพราะเธอหันหลังให้กับความสัมพันธ์จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

แจ้งเพื่อทราบ: ผมกำลังจะเปิดเผยเนื้อหาของหนังเรื่องหนึ่ง

เขาเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ เห็นพลังของความรัก ต่อเมื่อเขาเสียมันไป เส้นวงที่ขีดล้อมกรอบความรักของเขายังคงขนาดเท่าเดิม แต่วงของเธอนั้นขยายกว้างออก และไม่ได้มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว ต่อเมื่อโหยหาสิ่งที่เขาขาด เขาจึงเรียนรู้และพยายามให้ได้มา เมื่อพยายามจึงได้ทำได้ลองหลายทางจนกว่าจะพบทางที่ใช่ ทางที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาเองจากภายใน

หากหญิงสาวผู้นั้นเธอตระหนักถึงรักต่อตัวเด็กเมื่อเธอได้ให้กำเนิด และได้ถึงพร้อมในความเป็นแม่ เปรียบกันแล้ว เขาก็ได้เริ่มล่วงสู่ความเป็นพ่อ เมื่อได้ให้กำเนิด ไม่ใช่ในทางชีวภาพ แต่ในทางสัญชาตญาณด้วยการช่วยชีวิตหนุ่มรุ่นน้องจากห้วงน้ำเย็นยะเยียบ กระทั่ง เมื่อเขาได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นพ่อ ไม่ใช่ในทางนิตินัย แต่ในทางสำนึกรับผิดชอบผลการตัดสินใจกระทำของเขาที่ผูกพันถึงชีวิตและอนาคตของรุ่นน้องคนเดิมนั้น

เพียงคำพูดถามถึงลูกชายตัวน้อยเพียงประโยคเดียวในตอนท้าย เราก็เข้าใจด้วยใจว่าเขาได้เปลี่ยนผ่านเติบโตจากเด็กคนหนึ่งสู่การเป็นพ่อของเด็กอีกคนหนึ่งแล้ว

ขอบคุณเพื่อนร่วมโรงที่ฉายหนังชีวิตและความคิดฉากต่างๆ ผ่านภาพสมมติในโรงหนัง แต่ละเรื่องราวร้อยเรียงลำดับไปกับผู้ชมแต่ละคนต่างที่มาแต่ละทัศนะ หนังเรื่องเดียวมีสารสารพัดสารพัน ด้วยผู้สังเกตที่ต่างๆ กัน เราล้วนต่างมีภาพยนตร์ส่วนบุคคลหรือหนังส่วนตัวในช่วงเวลาสองชั่วโมงเดียวกัน ขอบคุณที่ทำให้ความคิดงอกเงยแตกหน่อออกผล ขอบคุณมาก มาก ครับ

Governments should be afraid of their people

ไม่กี่วันมานี้มีความประจวบเหมาะหลายอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา หนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือการพลิกเปลี่ยนของประเทศไทย การรัฐประหารที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว ดูท่าว่าครั้งนี้จะได้รับดอกไม้มากกว่าก้อนอิฐ เสียงของประชาชนตอบรับการตบเท้าเข้ายึดอำนาจจากกลุ่มทุนที่ครอบงำประเทศ


มีคนกล่าวว่า "นี่คือความพ่ายแพ้อีกครั้งของภาคประชาชน" เพราะภาคประชาชนเป็นฝ่ายปล่อยปละให้ระบอบประชาธิปไตยแบบทักษิณถูกล้มล้างด้วยฝีมือของกลุ่มทหาร ที่สุดแล้วชาวไทยก็ยังไม่สามารถรวมตัวกันขึ้นจากคนเล็กคนน้อยด้วยเป้าหมายและอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน อาจด้วยเหตุที่ถูกแบ่งแยกจากนโยบายประชานิยม หรือการละทิ้งประชาชนรากหญ้าจากคนในสังคมต่อกันไม่ติดก็ตาม ...


"โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง"


"นี่คือความพ่ายแพ้ของภาคประชาชน"


หลายเดือนก่อนผมได้ดูหนังเรื่อง V for Vendetta ไปสองรอบ เสียน้ำตาให้รอบแรกมากกว่ารอบที่สอง แต่ความรู้สึกใช่เหมือนเดิม รู้สึกว่ามันช่างเป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายได้ถูกจังหวะและโอกาสเหลือเกิน รัฐประหารโดยภาคประชาชนไทยจะเริ่มจากคนๆ เดียว ด้วยปฏิบัติการเท่ๆ เยี่ยงภาพบนจอนี้ได้ไหมหนอ :-)

Our world today



คืนวานและเช้านี้ผมอ่านพบข่าวชาวมุสลิมหลายประเทศทั่วโลกออกมาประท้วงการบรรยายพาดพิงถึงศาสนาอิสลามของพระสันตปาปา ยังไม่ทันอ่านรายละเอียดของข่าวคืนนี้และซึบซับเอาไว้มากนัก พอถึงเช้ากลับเป็นว่าเหตุบานปลายรุนแรงขึ้น นายกหญิงเยอรมันนีกล่าวปกป้องพระองค์ท่านว่าผู้ประท้วงเข้าใจเจตนาผิดไป ท่านนายกคงพูดเพราะเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่ประเทศนี้เอง ในอีกด้าน ชาวมุสลิมที่ปาเลสไตน์รวมตัวเดินประท้วง มีการเผารูปเขียนป้าย ทั้งสองฝ่ายกำลังย่ำลงไปบนจุดอ่อนไหวของกันและกัน


มีคนกล่าวไว้ว่าหากจะรักษาสัมพันธภาพในวงสนทนา อย่าได้นำหัวข้อการเมืองและศาสนาขึ้นมาพูดคุย ผมเชื่อว่าพี่ๆ น้องๆ พัฒนาจิตทุกคนคงอยากจะเติมท้ายประโยคนี้ อาจด้วยความว่า เว้นแต่ใช้สติและปัญญาในการสนทนา หรือ เพียงแต่ทุกฝ่ายตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ไม่ว่าเรื่องราวใดย่อมส่งถ่ายถึงกันได้อย่างเป็นมิตรไมตรี


ผมไม่รู้ว่าเรื่องอันเกิดจากประโยคบรรยายนั้นจะนำพาไปสู่สถานการณ์ใดอีก ไม่แน่ใจว่าจะมีใครใช้สถานการณ์ที่ผ่านเลยไปแล้วมาผลิตใหม่ให้รองรับกับเป้าหมายของตัวเองในรูปแบบอื่นๆ อีก หวังแต่เพียงรอยปริแยกไม่ร้าวลึกและกรีดบาดใครมากไปกว่านี้


หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลซีไรท์ปีนี้ สะท้อนภาพของความเชื่อเบื้องหลังที่แตกต่างและนำไปสู่ความบาดหมางอย่างยากจะเยียวยากลับคืน เมื่อจุดอ่อนไหวถูกกระทบสร้างรอยลึกจนยากประสานกลับเป็นเหมือนเดิม "กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด" เป็นนวนิยายที่ทรงพลัง บอกเล่าเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ผ่านสายตาของทุกคนในหลากบทบาทที่เกี่ยวข้อง ไม่มีใครเลยที่เชื่อว่าตนไม่มีเจตนาดี แต่ความบอบช้ำและความบาดหมางยังปรากฏอยู่


โลกใบนี้ดูจะเล็กเสียจนเรารับรู้เรื่องความแตกต่างอันนำไปสู่รอยแตกร้าวจนชินชา ผลักไสเราออกห่างกันไกล เรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลอะไรต่อเรา เป็นเพียงข่าว จนกว่ามันจะเกิดขึ้นตรงหน้าเราเอง


September 11 on the plane



นับว่าคือครั้งแรกของกลุ่มจิตสีนิมาที่ได้สนทนาอย่างออกรสหลังชมภาพยนตร์ดีๆ เรื่องหนึ่งนาม United 93 ด้วยภาพและเรื่องช่างทรงพลังเสมือนจริงเสียจนใจเต้นระรัวหวั่นหวาดยิ่งกว่าหนังแอคชั่นอื่นที่เคยชม จินตนาการตัวเองถ้าตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ละชีวิตบนจอภาพไม่ได้ถูกปั้นแต่งให้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีเลย มีแต่ชีวิตที่อยู่บนทางเลือกจะยอมรับผลโดยการรอหรือลงมือกระทำ

ความเชื่อที่แตกต่างนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมอันตอกย้ำรอยแยกให้แตกร้าวมากยิ่งขึ้น


เมื่อถึงจุดที่ถอยกลับไม่ได้จะมีโอกาสไหมที่จะทำความเข้าใจกันและกัน
หรือแม้แต่รับฟัง ยังไม่จำต้องเข้าใจ
เพียงแค่ฟังอย่างตั้งใจ ไม่ต้องถึงกับเข้าข้าง

Memento




ความทรงจำเป็นเครื่องมือจัดการกับความสัมพันธ์กับทุกสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะกับมนุษย์ด้วยกันเอง เรารู้ว่าจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกกริยาท่าทางสีหน้าแววตาน้ำเสียงอย่างไรต่อคนๆ หนึ่ง เพราะเรามีความทรงจำเกี่ยวกับคนนั้นอย่างไร Memento ให้ภาพเรื่องราวล่าสุดกลับไปสู่ต้นสายปลายเรื่องได้บอกเป็นนัยว่าอย่างนั้น การดำเนินชีวิตที่ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่แวดล้อมไปด้วยคนมากมายที่มีความทรงจำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรา แต่เราไม่มีข้อมูลความทรงจำใดๆ เลยต่อเขา ไม่รู้ว่าเขาคือความปรารถนาดี หรือเจตนาร้ายหมายเอาชีวิต ..

Memento ดำเนินไปแล้ววกกลับมาซ้ำที่เดิมก่อนเผยเรื่องก่อนหน้าทีละน้อย แต่ความทรงจำต่อบางเรื่องที่ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ทำให้เกิดข้อมูลใหม่ในการจัดการกับความสัมพันธ์อะไรเลย รังแต่จะฉุดดึงลดทอนการเปิดเผยความคิดความรู้สึกน้อยลง ห่างไกลออกจากเรื่องมากขึ้น ประชุมเสวนาหารือครั้งใดที่วนเวียนกลับมาที่เก่าที่แม้ไม่ใช่ที่เดิมทว่าบนความทรงจำเดียวกันนั้น ได้ชักชวนฉุดรั้งให้ถอยห่างปลีกตัวออกจากวงพูดคุยทุกที

เคยเจตนาดี อยากมีส่วนร่วม แต่ไม่ไหวแล้ว