ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน

หลายสัปดาห์และหลายวันที่ผ่านมามีโอกาสทำให้ได้หยิบหนังสือ'ธรรมชาติของสรรพสิ่ง'และ'ให้ความรักก่อนให้ความรู้'ขึ้นมาอ่าน พ้นจากหน้าหนังสือก็พบว่าข่าวเรื่องการชุมนุมและการประท้วงรัฐบาลมาปะทะอย่างจัง มันทำให้้ย้อนกลับไปคิดถึงความรู้สึกแรกๆ ที่เคยเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไรก็ตาม
  • โกรธ ทำไมถึงทำอย่างนี้กับคนไม่มีอาวุธ
  • สงสัย เขามากันด้วยเจตนาบรสุทธิ์จริงหรือไม่ว่าเสื้อสีไหน
  • กังวล การเดินทางของเราล่ะจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า
  • แค้น คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทำไมถึงไม่เห็นแก่ส่วนรวม
  • ฯลฯ

แต่พอมีสติ ค่อยๆ ลำดับความคิด มองภาพ มองคน มองเรื่องด้วยสายตาต่างกันไปหลายมุม การเห็นที่มาที่ไปและความซับซ้อนก็สอนเราได้ดี ความปั่นป่วนมันเกิดขึ้นมาที่ใจของตัวเราเองไม่ใช่หรือ หลวงพี่ไพศาลท่านเขียนบทความจิตวิวัฒน์ไว้ว่า "ธรรมชาติแวดล้อมวิกฤตก็เพราะธรรมชาติภายในของผู้คนเสียสมดุล" และแน่นอนว่าคงไม่สามารถทำให้ผู้คนทุกผู้มีภายในที่สมดุลได้ทั้งหมดทันทีทันใด แต่ก็ไม่ควรสิ้นหวังไม่ใช่หรือ

ขอให้ความรู้สึกเข้าใจนี้กลับมาหาบ่อยๆ จะได้ช่วยเตือนให้ระลึกและรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ทันก่อนจะจมลงในห้วงของความรู้สึก

นิทานไร้นาม

ผมเขียนเรื่องนี้เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคมที่ผ่านมา ละแวกเขาใหญ่ เพราะว่าไปร่วม workshop ว่าด้วยการเขียนกระบวนทัศน์ใหม่ร่วมกับเหล่าลูกศิษย์ของอ.สรยุทธในชั้นเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ โจทย์เขาว่าให้เขียนต่อเนื่องไม่หยุดเป็นเวลา ๔๐ นาที แล้วก็ได้ผลออกมาเป็นเรื่องนี้ ที่เพิ่งตั้งชื่อให้เดี๋ยวนี้เองว่า "นิทานไร้นาม"




"หากไม่เริ่มยามนี้ ทุกสิ่งจะสายเสียแล้ว"

ชายชราเอ่ยเสียงอย่างยากลำบาก ราวกับแต่ละคำที่กล่าวได้ลดทอนอายุขัยลงไป

เขาลังเลและไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจว่าตัวเองกำลังเข้าใจหรือไม่

"สิ่งนี้น่ะหรือ"

"ใช่ และทั้งนครหลับใหลจะตื่นขึ้นได้เพราะมัน"



ช่างเป็นเรื่องยากเกินกว่าชาวไร่อย่างเขาจะเชื่อได้ ก็นครหลับใหลเป็นเช่นนี้มาตลอดชั่วชีวิตของปู่ของปู่ทวดของเขา ไม่มีใครตื่น แม้ทุกคนจะรู้จักคำว่าตื่นเป็นอย่างดี

ทุกคนจะตื่นไปทำไมล่ะ ในเมื่อฟ้าแห่งนครนั้นมืดมิด ไร้แสงเดือนและดารา กิจวัตรแต่ละคืนนั้นก็ดำเนินไปได้ด้วยดีแล้ว อาหารถูกลำเลียงมาจากมณฑลไร่ และทุกคนสื่อสารติดต่อกันทางฝัน ถ้าต้องการความชัดเจนแน่นอนก็ใช้การสนทนาละเมอ แต่ก็นานๆ ทีหรอกนะที่ใครจะมีเวลาให้มากขนาดนั้น

มา ณ เวลานี้ ลุงแก่ชราท่าทางเหมือนหมอดูวณิพกรอนแรมจากต่างแดนกลับมาร้องขอให้เขาทำสิ่งที่ดูเล็กน้อยและเหลวใหลในเวลาเดียวกัน รู้อย่างนี้รีบเอาข้าวสวยและผักต้มวางไว้ให้กินแล้วเรารีบไปทำงานต่อดีกว่า ฤดูกาลนี้มีคำขอปริมาณผลิตผลจำนวนมากจากนครหลับใหลเสียด้วย

"เขาไม่ให้ข้านำช่อดอกประหลาดนี้เข้าไปในเขตอาณาหรอก หากว่าชาวไร่อย่างข้าไม่มีกิจน่ะ"

"เจ้ามีกิจเมื่อใดพ่อหนุ่ม"

ชายชราถามด้วยท่วงทำนองช้าเฉื่อยและอ่อนแรง

"เมื่อส่งผลผลิตไงลุง" ตอบอย่างรำคาญใจ ที่วณิพกต่างแดนไม่เข้าใจประเพณีเลย

ชายชราส่ายหน้า พึมพำราวกับพูดกับตัวเองคนเดียว

"ชาวไร่ในแดนของข้า ไม่สิ แดนดินที่ข้าจากมา เขาไม่มีกิจอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาละเว้นเสียซึ่งกิจหนึ่งเดียวนี้ที่สำคัญ มาบัดนีเขาเพียงแต่เฝ้ากำจัดสรรพชีวิตที่ขออาศัยพืชปันผล .. ใช่ สิ่งที่เจ้าเรียกว่าผลผลิตเพียงเพื่อจะเก็บรวบรวมไว้ หวังว่าจะมีใครจากนครหรือมหานครใดมารับ"

"ก็แล้วทำไมเขาไม่ไปส่งผลผลิตด้วยตัวเองเล่า?"

"จะไปส่ง ณ ที่แห่งใดเล่า เพียงกินใช้ในหมู่เหล่าก็ยังเหลืออีกมากมาย อย่าว่าแต่เขาชาวไร่แดนดินที่ข้าจากมาหวังจะได้กินใช้ผลิตภัณฑ์ เขาเคยได้และได้ จนไม่แลเหลือบซึ่งพืชและผลอันเกิดต่อหน้าแล้ว"

เขาประหลาดใจระคนสนใจขึ้นมา

เหตุอันใดเล่าชาวไร่จะไม่ใหลหลงในผลิตภัณฑ์แห่งนคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหานคร เพียงแค่ไม่กี่ชิ้นไม่กี่อย่างในเรือนของเขาก็ยังความปลาบปลื้มและอิ่มเอิบยิ่งนัก ด้วยว่าผลิตภัณฑ์แห่งนครหลับใหลนั้นเลื่องชื่อความเหนือปัจจุบันนัก

"ถ้าเขาตื่นแล้วเช่นนั้นจะยังดำเนินกิจกรรมนำมาซึ่งผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่ล่ะลุง" เขาย้อนกลับมาซึ่งเรื่องที่เริ่มต้นไว้

"ช่อมวลแสงชีวะจะนำมาซึ่งการตื่น แลสิ่งอื่นซึ่งไปพ้นจากที่เจ้าเข้าใจ"

เขานั่งคิดคำนวณความเป็นไปได้ เขากำลังสนทนากับชายแก่สติไม่ดีหรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย

"เอาเถอะ ลุง ข้าจะนำไอ้เจ้าช่อนี้ไปให้"

"โดยพลัน ข้าขอให้เจ้าสัญญา"

แม้จะลังเล แต่เขาก็ตอบ "ข้าสัญญา"

"เช่นนั้นข้าก็วางใจ แดนดินที่ข้าจากมาสิ้นแล้วซึ่งสัญญาณชีพ ทุกผู้หมู่เหล่าล้วนเข้าสู่นิทราลึก ไม่มีอีกแล้วนคร ไม่มีแหล่งไร่ปลูกเพาะ หญิงชายชราฉกรรจ์เยาว์วัยล้วนดำเนินกิจกรรมไปจากความทรงจำในนครหลับใหล เขาคิดว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร..."

"แล้วเขาเป็นอะไรรึลุง"

ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เขานึกว่ารับปากส่งๆ ไปแล้ววณิพกเฒ่าจะหยุด แต่ชายชรากลับพล่ามไม่หยุด และดูเหมือนจะเร็วขึ้น

"เขาหลับ พ่อหนุ่ม เข้าสู่ห้วงนิทราลึก ความหวังจะมาซึ่งการตื่นนั้นเป็นมีไม่"

ยิ่งฟังเขายิ่งไม่เข้าใจ

"เอาละลุง ข้าต้องไปแล้ว"

"ขอให้ช่อมวลแสงชีวะอำนวยพรแด่เจ้า"

จบคำชายชราพลันหลับตาลง ร่างนิ่งไม่ขยับ เขาละล้าละลังไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่คิดว่าวณิพกเฒ่าจะรู้จักศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงดังเช่นการหลับได้ การนิ่งของชายแก่คงมิพ้นเป็นการสิ้นสัญญาณชีพแน่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาเคลือบแคลง ไม่แน่ใจว่านี่เป้นการสิ้นเพราะสังขารหรือเพราะการหลับคือ รอยยิ้มเอิบอิ่มอันนั้น เพราะสำหรับชาวมนุษย์แล้ว ความตายไร้สัญญาณชีพนั้นเจ็บปวดสรรพางค์กายนัก และชายแก่ซอมซ่อก็ไม่มีทางหลับได้ เพราะแม้บุตรอันเฉลียวฉลาดของเขาก็ยังต้องเข้าระบบตำราและหลักสูตรแข่งขันอย่างหนัก อีกนานกว่าจะเติบใหญ่สู่ความเป็นผู้ใหญ่และเรียนรู้การหลับอย่างไหลลื่นได้ และยกสถานะเขาเข้าสู่นครหลับใหล

คืนนั้น เขาเดินจากกระท่อมท้ายไร่มาอย่างเหนื่อยอ่อน อากาศนิ่งไร้ลมโบก เสียงแมลงนั้นไม่มีมานานมากตั้งแต่เขาจำความได้แล้ว เสียงเดียวที่ยังดังอยู่ในหัวคือคำของชายชรา "ข้อขอให้เจ้าสัญญา"

ระหว่างทางกลับบ้านเขาเดินพลางคิดพลาง อีกตั้ง ๓ วันกว่าจะถึงกำหนดส่งผลผลิต หากเขาจะเอาช่อดอกประหลาดนี่เข้านครหลับใหล เขาก็ต้องเสียอัฐธาตุจำนวนมากเท่าผลผลิตไม่น้อย ทั้งยังต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่นครว่าด้วยกิจอันสำคัญควรแก่เหตุการเข้าอาณานอกเหนือเวลาส่งผลผลิต

ระหว่างเดินเข้าบ้านหลังที่อยู่กันมาแต่รุ่นปู่ หญิงนางหนึ่งก็ยื่นมือมารับของไปวาง พร้อมทำหน้านิ่ว

"พี่นำของอะไรกลับมาด้วยรึ" พลางคิดว่าสามีข้านี่กระไร กลับก็ช้าจนข้าวปลาชืดเสียแล้ว ที่ช้าเพราะมัวไปเก็บของพรรค์นี้น่ะรึ

"ข้าได้มาจากขอทาน เขาขอให้ข้าไปส่งที่นครหลับใหล เดี๋ยวนี้"

"จะบ้ารึพี่ ข้าไม่คิดว่าพี่จะทำตามคำขอพิกลนั่น ลำพังการเดินทางต้องเสียอัฐไม่น้อยแล้ว พวกเจ้าหน้าที่นครเขาจะหมิ่นดูแคลนเราได้ ข้าทนไม่ได้หรอก"

"ข้าก็ว่างั้น .. เฮ้อ"

ภรรยาเปลี่ยนเรื่องทันที เข้าเรื่องที่ทำให้เธอต้องรอมาครึ่งค่อนคืน

"พี่ ข้าเห็นผลิตภัณฑ์ในจอภาพ งามนัก ข้าอยากได้"

"อ๋อ เอาสิ เดี๋ยวเราก็ขายผลผลิตในอีก ๓ วันนี้แล้ว ข้าก็มีผลิตภัณฑ์ที่อยากได้เหมือนกัน"

ว่าพลางโยนช่อดอกประหลาดจากโต๊ะลงไปที่ถังขยะข้างเตา

"พี่ว่าลูกเราจะสอบผ่านระบบตำราชั้นต้นด้วยคะแนนเท่าไหร่"

"ไม่รู้สิ ข้าก็หวังให้มันได้คะแนนสูงๆ แหละ"