ความลับในตัวเรา


หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 4 พฤศจิกายน 2555

เราอาจจะรู้สึกกันว่าคนบนโลกทุกวันนี้เรียกร้องการยอมรับกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกร้องให้เรามองเห็นความแตกต่างเป็นความหลากหลาย ไม่ใช่ความแปลกแยกแปลกประหลาด เพราะปมปัญหาหลายอย่าง เราล้วนมีที่มาจากการยอมรับกันไม่ได้ เมื่อมีความต่างก็กลับกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม หรือการมาคุกคาม มากกว่าจะได้ทำความเข้าใจ และเปิดใจยอมรับ

เราเริ่มตระหนักว่าความสงบสุขและสันติในโลก ในชุมชน และบ้านของเรา จะเกิดขึ้นได้หากเรายอมรับกันและกันได้ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ เช่น ความเชื่อทางการเมือง การใช้ชีวิตตามวิถีปฏิบัติทางศาสนา ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ กระทั่งรสนิยมการกินอาหาร เมื่อเห็นว่าเป็นความต่างที่ยอมรับได้ เราก็ชื่นชมกันได้ เห็นความงาม เห็นความน่าสนใจในคนที่ต่างจากเรา และโลกของเราก็กว้างขึ้นแผ่ขยายออก

เรารู้ว่าการไม่ยอมรับในความต่างบ่มเพาะความอึดอัดขัดใจ เป็นบ่อเกิดของความเกลียดชังที่มีพลังทำลายล้างทุกฝ่ายไม่เว้นกระทั่งตัวเอง หากยอมรับเขาที่ต่างจากเราไม่ได้ อย่างน้อยเราก็แยกตัวตัดขาดจากกัน หนักขึ้นเราก็เห็นเขาเป็นเป้าที่ต้องเข้าไปจัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือแม้กระทั่งต้องกำจัดออก

การได้ตระหนักรู้และเห็นความสำคัญของการยอมรับกันนี้นับว่ามีพลังและเปิดความเป็นไปได้ให้เรามาก แม้จะไม่สามารถยอมรับความต่างของผู้คนในทุกรูปแบบได้อย่างหมดหัวใจก็ตาม อาจยังต้องใช้เวลา หรือต้องการการสนทนาและการฟังอย่างลึกซึ้ง

แต่ขอให้มองไปยังอีกด้าน คือการมองย้อนกลับมายังตัวของเราเอง สิ่งนี้อาจเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งกว่าการดูแลความสัมพันธ์กับคนอื่น นั่นคือการยอมรับความแตกต่างในตัวของเราเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่ อาจไม่เคยเห็นเลยว่านี่คืออีกด้านของความเป็นเรา

การยอมรับตัวเองนี้เป็นคนละสิ่งกันกับความเชื่อว่าเราเป็นใคร และเป็นคนละเรื่องกันกับความชัดเจนในตัวเองว่าเราคือคนแบบไหน อาจกลับกันเสียด้วยซ้ำว่า ยิ่งเราเชื่อว่าเรามีบุคลิกอย่างไร มีความคิดรสนิยมแบบไหน และชัดเจนมากๆ ว่าเราชอบอะไร ทำอะไรได้บ้าง และเป็นอะไรได้บ้างนั้น ยิ่งอาจจะจำกัดให้เรายึดมั่นในความเป็นเราที่คับแคบ และขีดวงปิดกั้นตัวเองเอาไว้มากเท่านั้น


การยอมรับตัวเองคือความสามารถในการมองเห็นและเปิดใจให้กับความไม่ดี ความไม่งาม และความไม่สมบูรณ์แบบในตัวของเราเอง ไม่ว่ามันจะเป็นพฤติกรรมอะไรของเรา เป็นรสนิยมอะไรของเรา หรือเป็นความคิดอะไรในหัวเรา เพราะผู้ที่พิพากษาว่าสิ่งนั้นมันไม่ดี ไม่งาม ไม่สมบูรณ์แบบ คือตัวเราเอง ยิ่งเรายากจะยอมรับความต่างในตัวได้น้อยเท่าไหร่ ก็มีแนวโน้มว่าเราจะรับรู้ตัวเราที่แท้น้อยลงเท่านั้น หนักเข้า เราก็ผลักไสมันไปสู่ความรังเกียจ ความชัง กลายเป็นสิ่งที่ต้องเก็บ ต้องกด ต้องกำจัดมัน

หลายเรื่องที่เป็นเราอาจเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เลือก เช่น สีผิว หรือฐานะ ลึกลงไปก็เช่น นิสัยที่แก้ไม่หาย หรือพฤติกรรมที่ทำจนเป็นร่องเคยชินติดตัว การพยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งเหล่านี้ในตัวเรานั้นบางสิ่งก็ทำได้ แต่หลายสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ เราจึงมักปกปิดเอาไว้ กลบเกลื่อนมันไป หรือกดดันตัวเองอย่างหนักไม่ให้ตัวเองเผลอไผลไปเป็น

ตัวเราก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับโลกใบนี้ ในเมื่อเราพยายามอย่างหนักที่จะยอมรับผู้คนที่คิดต่างและเชื่อต่างแล้ว ไฉนเราจำต้องจำกัดเปิดรับตัวเองเพียงบางส่วน หากเริ่มเห็นย่อมเริ่มเข้าใจ และเปิดความเป็นไปได้ในการสร้างสันติให้แก่ตัวเองและโลกของเรา

0 comments:

Post a Comment