ฟังถึงใจ


หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม 2555

ความสามารถในการมองทะลุพฤติกรรมและการกระทำไปจนเห็นถึงเบื้องหลังนั้นช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์นัก

ในการประชุมขององค์กรแห่งหนึ่ง ในจำนวนสมาชิกที่ประชุมสามสิบกว่าคนนั้น มีทั้งผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา มีตั้งแต่คนที่อายุงานมาก จนถึงคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ประมาณสองเดือน เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับขององค์กรของเขา

“เมื่อก่อนหน่วยงานเราเคยได้รับความเชื่อถือมาก เคยอยู่กันอย่างพี่น้อง มีอะไรก็พูดจากันได้ทั่วถึง เดี๋ยวนี้บรรยากาศแบบเดิมมันหายไป อยากให้มันกลับคืนมา” รุ่นพี่ผู้อาวุโสกว่าใครกล่าว

“ใครจะคิดว่าตัวเองเป็นคนพูดตรงก็แล้วแต่เขา ที่บอกก็เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง อะไรที่ฝ่ายบริหารตัดสินใจไปแล้ว ถ้าไม่เกิดประโยชน์จริงกับคนทำงาน มันก็ต้องพูด เราไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง แต่เพื่อทุกคน จะมาเปลี่ยนแปลงหรือห้ามพูดไม่ได้หรอก” เป็นเสียงจากสมาชิกอีกคนหนึ่ง ท่าทางขึงขังจริงจังมาก

“เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่กี่เดือน ก่อนจะมาก็มีเพื่อนทักนะ ว่าแน่ใจแล้วเหรอ เขาบอกว่าที่นี่ปัญหาเยอะ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่ถอย เราไม่ได้เข้ามาเพราะเป็นคนของใคร ก็อยากจะรู้จักและเข้ากันได้ทำงานกันได้กับทุกๆ คน” น้องใหม่ขององค์กรกล่าวบ้าง ด้วยน้ำเสียงที่ยังประหม่า แต่ก็เปิดเผยถึงเรื่องที่เธอได้พบมาจริง

หากมองด้วยสายตาทั่วไป และฟังผ่านๆ แล้ว ถ้อยคำบทสนทนาที่เกิดขึ้นในห้องนี้ คงทำให้เกิดจินตนาการต่อไปได้ไม่ยาก ว่าอีกประเดี๋ยว สมาชิกหลากวัยหลายตำแหน่งขององค์กรนี้ คงจะได้ขึ้นเสียง และชักสีหน้าใส่กันแน่ ดีไม่ดีอาจลุกลามกลายเป็นกล่าวโทษกันไปมา หรือพาลทะเลาะบาดหมางเข้าหน้ากันไม่ติด ยิ่งคุยกันด้วยเรื่องปัญหาขององค์กรแบบนี้แล้วล่ะก็ ร้อยทั้งร้อยจบลงที่ต่างคนต่างระบายความไม่พอใจเข้าใส่กัน ต่อเมื่อล่วงเลยเวลาการประชุมแล้วนั่นแหละ ถึงจะล่าถอยไปด้วยความเหนื่อยใจของทุกฝ่าย พอวันรุ่งขึ้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงานตามความรับผิดชอบของตัวเองกันต่อไป ขอแค่ระวังไม่ให้ไปกระทบกระทั่งหรือเผลอเหยียบตาปลากันเข้าก็พอ

แต่ในห้องประชุมนี้ ไม่ได้มีปรากฏการณ์ตกร่องซ้ำรอยดังกล่าว อีกทั้งสมาชิกทุกคนยังได้พูดได้บอกสิ่งที่คิดออกมา และไม่เพียงสิ่งที่คิด แต่ยังรวมถึงความรู้สึกภายในใจ ขณะที่คนหนึ่งพูด คนที่เหลือก็พยายามฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีใครขัด ไม่มีใครขอใช้สิทธิพาดพิง หรือส่อสัญญาณฮึดฮัดรำคาญใจ

เพราะทุกคนกำลังอยู่ในระหว่างการฝึกฝนการฟัง และกล้าเปิดเผยความจริง เพื่อจะได้มองถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่าปัญหาขององค์กรจากหลากมุมหลากแง่ต่างๆ กัน แต่ทุกคนมีความต้องการเบื้องลึกในใจที่งดงามและยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

เพราะการกระทำ คำพูด และการแสดงออกใดๆ ไม่ได้เป็นเพียงความโกรธกริ้ว ไม่ใช่การทำร้ายทำลายกัน มิใช่การโยนความผิดออกไปให้พ้นตัว สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็งเพียงเล็กน้อยที่โผล่พ้นผิวน้ำ เบื้องใต้ลึกลงไปยังมีความต้องการที่อยากจะมีความสุขในการทำงาน ต้องการความมั่นคง ต้องการความภาคภูมิใจ และต้องการความยุติธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความต้องการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมายในองค์กร

การฟังที่เกิดขึ้นนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจ เหตุการณ์การระบายออกถึงปัญหาของคนทั้งสามสิบกว่าคนนี้จึงไม่ได้นำไปสู่ความไม่เข้าใจ ตรงกันข้าม ต่างพยายามที่จะเข้าใจกัน เป็นการฟังที่ไม่ได้ยินแต่เสียง ยังเปิดใจรับฟัง และร่วมกันค้นหา จนค้นพบความต้องการอันงดงามภายใน นำไปสู่ความเข้าใจ และสร้างความเป็นไปได้ใหม่ที่จะฝ่าฟันปัญหานี้ไปด้วยกัน

0 comments:

Post a Comment