ใช่แค่ความต่าง



หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2554

ชุดความรู้กลุ่มหนึ่งในแนวจิตตปัญญาศึกษาที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมการอบรมอยู่เสมอ คือเรื่องลักษณะของคนต่างแบบ และการให้คำอธิบายจัดแบ่งคนออกเป็นกลุ่ม ซึ่งมีอุปนิสัย พฤติกรรม และความคิด แตกต่างกัน ได้แก่ ความรู้เรื่องนพลักษณ์ อันเป็นศาสตร์ที่พัฒนามาจากภูมิความรู้เก่าแก่ในศาสนาอิสลามนิกายซูฟี และความรู้เรื่องสัตว์ 4 ทิศ จากมหาวิทยาลัยนาโรปะที่พัฒนาจากวัฒนธรรมความเชื่อในชนเผ่าอินเดียนแดง

ด้วยรูปแบบของการเรียนรู้ที่มีชุดความรู้ชัดเจน อธิบายถึงลักษณะนิสัยของคนที่ต่างกัน มันชวนให้เราสนใจใคร่รู้ว่า สำหรับตัวเราเองนั้นจะถูกจัดให้เข้าข่ายไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือ จะได้รู้ด้วยว่าคนรัก เพื่อน หัวหน้า และสมาชิกในครอบครัว น่าจะเป็นคนแบบไหนกันบ้าง การเรียนรู้จึงมีความกระตือรือร้น ซักถาม และหลายครั้งก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานขำๆ เมื่อได้รู้ว่าคนอื่นที่ดูจะคล้ายเรานั้น แท้จริงเขาอาจคิดหรือทำอะไรที่เกินความคาดหมายของเราได้มากเหลือเกิน

ในช่วงเวลาของการเรียนรู้ คนส่วนใหญ่จะดิ่งจมสนใจอยู่แต่ว่าตนเองเป็นคนประเภทไหน มีพื้นฐานลักษณะอะไร พร้อมไปกับเทียบเคียงถึงคนรู้จักใกล้ตัว ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันและกัน รวมทั้งยกตัวอย่างคำพูด หรือสถานการณ์ในอดีตขึ้นมาประกอบ เป็นช่วงเวลาที่เพลิดเพลินสนุกสนานกับการเรียนรู้ แต่ในทางกลับกัน มันอาจจะกลายเป็นช่วงแห่งความหลง จมลึกลงในหลุมพรางความเข้าใจที่เรามีต่อตัวเอง และเผลอไผลไหลไปตามร่องความคิดความเชื่อเดิมๆ ของเราโดยไม่รู้ตัว

กระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญาจึงต้องกระตุ้นเตือนทุกคนอยู่ตลอดเวลา ให้ตระหนักถึงหลุมพรางและร่องซึ่งมีอยู่ภายในตัวเรา หาไม่แล้วการศึกษาเรื่องนพลักษณ์ และสัตว์ 4 ทิศ จะให้ผลลัพธ์ได้เพียงเท่ากับการดูดวงตามวันเกิด หรือตื้นเขินเพียงแค่ทำนายนิสัยง่ายๆ จากแบบสอบถาม คุณค่าแท้ของความรู้จะถูกละเลยมองข้าม เราจึงไม่เห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะทึกทักเข้าใจไปเองว่า ชุดความรู้นี้แหละที่จะทำให้คนอื่นต้องพยายามเข้าใจและยอมรับเรา หรือมิเช่นนั้น ก็กลับพาลเสียใจว่าเป็นเพราะกำเนิดมาเป็นคนแบบนี้แล้ว ชะรอยคงจะต้องก้มหน้ายอมรับชะตา ไม่สามารถจะไปเป็นคนแบบอื่นอีกได้

การสังเกตและทบทวนตนเองเพื่อให้เห็นว่าเรานั้นเป็นคนลักษณ์ไหนใน 9 แบบของนพลักษณ์ หรือมีนิสัยแบบสัตว์ 4 ทิศอะไร คือการเปิดโอกาสให้เราได้เท่าทัน มองเห็นหลุมพรางและร่องของตัวเราเอง เสมือนได้ชิมลองการละวางอัตตาตัวตนลง หันกลับมามองตัวเองด้วยมุมมองใหม่ ไม่ใช่เพื่อให้ชื่นชมหรือสมเพช แต่ให้ได้พบว่าเรามีความสามารถที่จะเป็นได้มากกว่าเดิม และเป็นคนที่แตกต่างจากเดิม เพื่อให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวาง อะไรคือกิเลสครอบงำ ที่ทำให้เราไม่ได้เข้าถึงศักยภาพที่แท้ภายใน ศักยภาพที่เปิดความเป็นไปได้ของการเติบใหญ่ทางจิตวิญญาณ

ลำเพียงเนื้อหาอธิบายลักษณะของคน โดยไร้ความเข้าใจและไม่ได้ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งในตนเอง ย่อมไม่อาจทำให้เราเข้าถึงแก่นแท้ของการเรียนรู้ แค่จดจำรำลึกได้ถึงรูปแบบนิสัยและพฤติกรรมต่างๆ อาจเป็นได้แค่ทักษะวิธีการบริหารงานบุคคล ทั้งอาจเป็นเหตุผลข้ออ้างตามใจตน ใช้เพ่งโทษคนอื่น และแบ่งเขาแบ่งเรา

ความรู้จิตตปัญญาว่าด้วยคนต่างแบบ คือการเข้าถึงความรู้ที่อยู่ในตัวเรา ได้ให้เวลาพินิจพิจารณาสะท้อนตนเอง เห็นหลุมและร่องเก่าที่กักขังตัวเราไว้ ฝึกฝนสติเพื่อให้รู้เท่าทันใจ และได้พบศักยภาพที่เราจะเป็นได้มากกว่าเคย

สัญญาณสติ



หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2554

อุปกรณ์ตัวเอกชิ้นหนึ่งซึ่งมักพบในการจัดอบรมแนวจิตตปัญญาศึกษาอยู่เสมอ นั่นคือ ระฆัง สำหรับตีให้สัญญาณเสียง เพียงแต่ลักษณะรูปทรงของเขานั้นต่างจากระฆังที่เราเข้าใจกันทั่วไป ระฆังที่ว่านี้มีลักษณะคล้ายถ้วยใบเล็ก ทำจากโลหะ ขนาดพอวางบนฝ่ามือได้ มีไม้ตีประมาณเท่านิ้วนางไว้ใช้คู่กัน

ที่ว่าเป็นตัวเอกเพราะเขาได้รับความสนใจไม่มากก็น้อยในงานทุกครั้ง เพราะนอกจากรูปร่างทรวดทรงจะแปลกตา มีเสียงดังกังวานใส และสะท้อนก้องอยู่นานกว่าจะเงียบลงแล้ว เหล่ากระบวนกรยังชอบวางเขาเอาไว้ตรงหน้า ยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนตลอดงาน หากมีหนไหนคราวใดที่ผู้นำกิจกรรมหรือกระบวนกรไม่ได้กล่าวแนะนำอุปกรณ์ชิ้นนี้ ก็มักมีผู้เข้าร่วมอบรมมาเลียบเคียงถามทุกทีไปว่า ไปซื้อหาเจ้าระฆังนี้มาจากไหน บางท่านต้องการมีประสบการณ์ตรงถึงกับเข้ามาขอลองตีระฆังเองเสียเลย

ยิ่งกระบวนกรอธิบายเล่าว่าระฆังนี้รอนแรมมาไกลจากญี่ปุ่น และใช่ว่าจะหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ต้องเป็นย่านศาสนสถานอันมีร้านรวงที่จำหน่ายของที่เกี่ยวข้อง ส่วนสนนราคาคิดเป็นบาทก็ร่วมหลักพัน ได้ยินอย่างนี้ผู้คนยิ่งตื่นตาตื่นใจ อยากได้เอาไว้จัดกระบวนการเองบ้าง

กระทั่งมีอยู่ครั้ง อาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นในการประชุมพบปะเครือข่ายของผู้สนใจนำจิตตปัญญาศึกษาไปใช้ในชั้นเรียนว่า อยากนำกิจกรรมหลายอย่างไปลองใช้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ เพราะแค่ระฆังก็ยังไม่มีเป็นของตัวเองเลย พวกเราในที่นั้นเข้าใจว่าเพื่อนอาจารย์คงเล่าแบบติดอารมณ์ขัน แต่มันสะท้อนปรากฏการณ์บางอย่างอันเนื่องมาจากระฆังที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิด ดังเช่นกรณีที่ว่ามา ดูเหมือนว่าระฆังรูปลักษณะนี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ประการหนึ่งของจิตตปัญญาศึกษาไปเสียแล้ว หากว่าการเป็นสัญลักษณ์นี้ทำให้คนจดจำได้ก็น่ายินดี

แต่กลับจะเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งถ้าอุปกรณ์นี้ได้ทำให้คนรับรู้จิตตปัญญาศึกษาเพียงแง่ภาพลักษณ์ในด้านเดียว เพราะเหตุที่กระบวนกรส่วนใหญ่เลือกใช้เขาในการจัดกระบวนการนั้น มิใช่แค่เพราะรูปลักษณะอันแตกต่าง และยิ่งมิใช่เพราะหายากต้องลำบากไปหอบข้ามน้ำข้ามทะเลมา

เหตุผลที่เลือกใช้ระฆังนี้คือ วิธีการใช้งานและการดูแลเขา เพราะมันเป็นวิธีการที่สนับสนุนให้เราได้ฝึกฝนพัฒนาตัวเราเอง ฝึกให้เราพิถีพิถันใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อย
ฝึกเราให้ละวางความฟุ้งซ่านและงานเร่งรีบตรงหน้า สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นการฝึกตนตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษาทั้งสิ้น

โดยลักษณะของระฆังที่ถือในมือและใช้มืออีกข้างจับไม้ตี อาจทำให้มองแค่นี้แล้วเข้าใจไปว่าคงเป็นของง่ายๆ แต่ถ้าได้ลองตีเองสักครั้งจะรู้เลยว่าไม่ธรรมดาฝ่ามือข้างที่ถือระฆังนั้นต้องผายออกกำลังดี ไม่มากไปไม่น้อยไป มือที่ถือไม้ตีต้องใช้แรงกำลังดี ไม่เบาจนเกิดเสียงจาง ไม่หนักจนดังระคายหู อีกทั้งเขาก็มีเนื้อโลหะที่ไม่ได้ทนทานต่อการกระแทก การจับวางต้องทำอย่างระมัดระวัง ทุกครั้งที่ตีระฆังจึงต้องใส่ความตั้งใจลงไปไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ต้องไม่มากจนเกร็ง เราต้องค่อยๆ วางเขาไว้ให้นิ่งและตั้งมั่น เลือกตำแหน่งและลงไม้ตีด้วยกำลังพอดี

การให้สัญญาณเช่นนี้จะทำไม่ได้เลย ถ้าผู้ตีระฆังอยู่ในภาวะลุกลี้ลุกลน เร่งรีบ ใจเหม่อลอยคิดเรื่องอื่น หรือคว้าเขามาแล้วหลับหูหลับตาตีแค่ให้เกิดเสียง เพราะสัญญาณเสียงอันกำเนิดจากการสั่นไหวในเนื้อระฆังนั้นสามารถสะท้อนถึงระดับความสงบนิ่งของใจผู้ตีออกมาอย่างชัดเจน ยิ่งใจนิ่ง เสียงสัญญาณยิ่งไพเราะ

ระฆังสำหรับงานอบรมอาจเป็นอุปกรณ์ธรรมดา ทำได้แค่ให้สัญญาณเสียง หรือเขาอาจจะโดดเด่นจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของงาน แต่ถึงที่สุดแล้ว เราต้องไปพ้นจากรูปลักษณ์ และไม่หลงลืมสาระคุณค่าแท้ของเขา คือการเป็นเครื่องมือซึ่งเอื้อให้เกิดวิถีที่เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวกับการเรียนรู้และฝึกฝนใจของตนเอง