ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน

หลายสัปดาห์และหลายวันที่ผ่านมามีโอกาสทำให้ได้หยิบหนังสือ'ธรรมชาติของสรรพสิ่ง'และ'ให้ความรักก่อนให้ความรู้'ขึ้นมาอ่าน พ้นจากหน้าหนังสือก็พบว่าข่าวเรื่องการชุมนุมและการประท้วงรัฐบาลมาปะทะอย่างจัง มันทำให้้ย้อนกลับไปคิดถึงความรู้สึกแรกๆ ที่เคยเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไรก็ตาม
  • โกรธ ทำไมถึงทำอย่างนี้กับคนไม่มีอาวุธ
  • สงสัย เขามากันด้วยเจตนาบรสุทธิ์จริงหรือไม่ว่าเสื้อสีไหน
  • กังวล การเดินทางของเราล่ะจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า
  • แค้น คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทำไมถึงไม่เห็นแก่ส่วนรวม
  • ฯลฯ

แต่พอมีสติ ค่อยๆ ลำดับความคิด มองภาพ มองคน มองเรื่องด้วยสายตาต่างกันไปหลายมุม การเห็นที่มาที่ไปและความซับซ้อนก็สอนเราได้ดี ความปั่นป่วนมันเกิดขึ้นมาที่ใจของตัวเราเองไม่ใช่หรือ หลวงพี่ไพศาลท่านเขียนบทความจิตวิวัฒน์ไว้ว่า "ธรรมชาติแวดล้อมวิกฤตก็เพราะธรรมชาติภายในของผู้คนเสียสมดุล" และแน่นอนว่าคงไม่สามารถทำให้ผู้คนทุกผู้มีภายในที่สมดุลได้ทั้งหมดทันทีทันใด แต่ก็ไม่ควรสิ้นหวังไม่ใช่หรือ

ขอให้ความรู้สึกเข้าใจนี้กลับมาหาบ่อยๆ จะได้ช่วยเตือนให้ระลึกและรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ทันก่อนจะจมลงในห้วงของความรู้สึก

นิทานไร้นาม

ผมเขียนเรื่องนี้เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคมที่ผ่านมา ละแวกเขาใหญ่ เพราะว่าไปร่วม workshop ว่าด้วยการเขียนกระบวนทัศน์ใหม่ร่วมกับเหล่าลูกศิษย์ของอ.สรยุทธในชั้นเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ โจทย์เขาว่าให้เขียนต่อเนื่องไม่หยุดเป็นเวลา ๔๐ นาที แล้วก็ได้ผลออกมาเป็นเรื่องนี้ ที่เพิ่งตั้งชื่อให้เดี๋ยวนี้เองว่า "นิทานไร้นาม"




"หากไม่เริ่มยามนี้ ทุกสิ่งจะสายเสียแล้ว"

ชายชราเอ่ยเสียงอย่างยากลำบาก ราวกับแต่ละคำที่กล่าวได้ลดทอนอายุขัยลงไป

เขาลังเลและไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจว่าตัวเองกำลังเข้าใจหรือไม่

"สิ่งนี้น่ะหรือ"

"ใช่ และทั้งนครหลับใหลจะตื่นขึ้นได้เพราะมัน"



ช่างเป็นเรื่องยากเกินกว่าชาวไร่อย่างเขาจะเชื่อได้ ก็นครหลับใหลเป็นเช่นนี้มาตลอดชั่วชีวิตของปู่ของปู่ทวดของเขา ไม่มีใครตื่น แม้ทุกคนจะรู้จักคำว่าตื่นเป็นอย่างดี

ทุกคนจะตื่นไปทำไมล่ะ ในเมื่อฟ้าแห่งนครนั้นมืดมิด ไร้แสงเดือนและดารา กิจวัตรแต่ละคืนนั้นก็ดำเนินไปได้ด้วยดีแล้ว อาหารถูกลำเลียงมาจากมณฑลไร่ และทุกคนสื่อสารติดต่อกันทางฝัน ถ้าต้องการความชัดเจนแน่นอนก็ใช้การสนทนาละเมอ แต่ก็นานๆ ทีหรอกนะที่ใครจะมีเวลาให้มากขนาดนั้น

มา ณ เวลานี้ ลุงแก่ชราท่าทางเหมือนหมอดูวณิพกรอนแรมจากต่างแดนกลับมาร้องขอให้เขาทำสิ่งที่ดูเล็กน้อยและเหลวใหลในเวลาเดียวกัน รู้อย่างนี้รีบเอาข้าวสวยและผักต้มวางไว้ให้กินแล้วเรารีบไปทำงานต่อดีกว่า ฤดูกาลนี้มีคำขอปริมาณผลิตผลจำนวนมากจากนครหลับใหลเสียด้วย

"เขาไม่ให้ข้านำช่อดอกประหลาดนี้เข้าไปในเขตอาณาหรอก หากว่าชาวไร่อย่างข้าไม่มีกิจน่ะ"

"เจ้ามีกิจเมื่อใดพ่อหนุ่ม"

ชายชราถามด้วยท่วงทำนองช้าเฉื่อยและอ่อนแรง

"เมื่อส่งผลผลิตไงลุง" ตอบอย่างรำคาญใจ ที่วณิพกต่างแดนไม่เข้าใจประเพณีเลย

ชายชราส่ายหน้า พึมพำราวกับพูดกับตัวเองคนเดียว

"ชาวไร่ในแดนของข้า ไม่สิ แดนดินที่ข้าจากมา เขาไม่มีกิจอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาละเว้นเสียซึ่งกิจหนึ่งเดียวนี้ที่สำคัญ มาบัดนีเขาเพียงแต่เฝ้ากำจัดสรรพชีวิตที่ขออาศัยพืชปันผล .. ใช่ สิ่งที่เจ้าเรียกว่าผลผลิตเพียงเพื่อจะเก็บรวบรวมไว้ หวังว่าจะมีใครจากนครหรือมหานครใดมารับ"

"ก็แล้วทำไมเขาไม่ไปส่งผลผลิตด้วยตัวเองเล่า?"

"จะไปส่ง ณ ที่แห่งใดเล่า เพียงกินใช้ในหมู่เหล่าก็ยังเหลืออีกมากมาย อย่าว่าแต่เขาชาวไร่แดนดินที่ข้าจากมาหวังจะได้กินใช้ผลิตภัณฑ์ เขาเคยได้และได้ จนไม่แลเหลือบซึ่งพืชและผลอันเกิดต่อหน้าแล้ว"

เขาประหลาดใจระคนสนใจขึ้นมา

เหตุอันใดเล่าชาวไร่จะไม่ใหลหลงในผลิตภัณฑ์แห่งนคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหานคร เพียงแค่ไม่กี่ชิ้นไม่กี่อย่างในเรือนของเขาก็ยังความปลาบปลื้มและอิ่มเอิบยิ่งนัก ด้วยว่าผลิตภัณฑ์แห่งนครหลับใหลนั้นเลื่องชื่อความเหนือปัจจุบันนัก

"ถ้าเขาตื่นแล้วเช่นนั้นจะยังดำเนินกิจกรรมนำมาซึ่งผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่ล่ะลุง" เขาย้อนกลับมาซึ่งเรื่องที่เริ่มต้นไว้

"ช่อมวลแสงชีวะจะนำมาซึ่งการตื่น แลสิ่งอื่นซึ่งไปพ้นจากที่เจ้าเข้าใจ"

เขานั่งคิดคำนวณความเป็นไปได้ เขากำลังสนทนากับชายแก่สติไม่ดีหรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย

"เอาเถอะ ลุง ข้าจะนำไอ้เจ้าช่อนี้ไปให้"

"โดยพลัน ข้าขอให้เจ้าสัญญา"

แม้จะลังเล แต่เขาก็ตอบ "ข้าสัญญา"

"เช่นนั้นข้าก็วางใจ แดนดินที่ข้าจากมาสิ้นแล้วซึ่งสัญญาณชีพ ทุกผู้หมู่เหล่าล้วนเข้าสู่นิทราลึก ไม่มีอีกแล้วนคร ไม่มีแหล่งไร่ปลูกเพาะ หญิงชายชราฉกรรจ์เยาว์วัยล้วนดำเนินกิจกรรมไปจากความทรงจำในนครหลับใหล เขาคิดว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร..."

"แล้วเขาเป็นอะไรรึลุง"

ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เขานึกว่ารับปากส่งๆ ไปแล้ววณิพกเฒ่าจะหยุด แต่ชายชรากลับพล่ามไม่หยุด และดูเหมือนจะเร็วขึ้น

"เขาหลับ พ่อหนุ่ม เข้าสู่ห้วงนิทราลึก ความหวังจะมาซึ่งการตื่นนั้นเป็นมีไม่"

ยิ่งฟังเขายิ่งไม่เข้าใจ

"เอาละลุง ข้าต้องไปแล้ว"

"ขอให้ช่อมวลแสงชีวะอำนวยพรแด่เจ้า"

จบคำชายชราพลันหลับตาลง ร่างนิ่งไม่ขยับ เขาละล้าละลังไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่คิดว่าวณิพกเฒ่าจะรู้จักศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงดังเช่นการหลับได้ การนิ่งของชายแก่คงมิพ้นเป็นการสิ้นสัญญาณชีพแน่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาเคลือบแคลง ไม่แน่ใจว่านี่เป้นการสิ้นเพราะสังขารหรือเพราะการหลับคือ รอยยิ้มเอิบอิ่มอันนั้น เพราะสำหรับชาวมนุษย์แล้ว ความตายไร้สัญญาณชีพนั้นเจ็บปวดสรรพางค์กายนัก และชายแก่ซอมซ่อก็ไม่มีทางหลับได้ เพราะแม้บุตรอันเฉลียวฉลาดของเขาก็ยังต้องเข้าระบบตำราและหลักสูตรแข่งขันอย่างหนัก อีกนานกว่าจะเติบใหญ่สู่ความเป็นผู้ใหญ่และเรียนรู้การหลับอย่างไหลลื่นได้ และยกสถานะเขาเข้าสู่นครหลับใหล

คืนนั้น เขาเดินจากกระท่อมท้ายไร่มาอย่างเหนื่อยอ่อน อากาศนิ่งไร้ลมโบก เสียงแมลงนั้นไม่มีมานานมากตั้งแต่เขาจำความได้แล้ว เสียงเดียวที่ยังดังอยู่ในหัวคือคำของชายชรา "ข้อขอให้เจ้าสัญญา"

ระหว่างทางกลับบ้านเขาเดินพลางคิดพลาง อีกตั้ง ๓ วันกว่าจะถึงกำหนดส่งผลผลิต หากเขาจะเอาช่อดอกประหลาดนี่เข้านครหลับใหล เขาก็ต้องเสียอัฐธาตุจำนวนมากเท่าผลผลิตไม่น้อย ทั้งยังต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่นครว่าด้วยกิจอันสำคัญควรแก่เหตุการเข้าอาณานอกเหนือเวลาส่งผลผลิต

ระหว่างเดินเข้าบ้านหลังที่อยู่กันมาแต่รุ่นปู่ หญิงนางหนึ่งก็ยื่นมือมารับของไปวาง พร้อมทำหน้านิ่ว

"พี่นำของอะไรกลับมาด้วยรึ" พลางคิดว่าสามีข้านี่กระไร กลับก็ช้าจนข้าวปลาชืดเสียแล้ว ที่ช้าเพราะมัวไปเก็บของพรรค์นี้น่ะรึ

"ข้าได้มาจากขอทาน เขาขอให้ข้าไปส่งที่นครหลับใหล เดี๋ยวนี้"

"จะบ้ารึพี่ ข้าไม่คิดว่าพี่จะทำตามคำขอพิกลนั่น ลำพังการเดินทางต้องเสียอัฐไม่น้อยแล้ว พวกเจ้าหน้าที่นครเขาจะหมิ่นดูแคลนเราได้ ข้าทนไม่ได้หรอก"

"ข้าก็ว่างั้น .. เฮ้อ"

ภรรยาเปลี่ยนเรื่องทันที เข้าเรื่องที่ทำให้เธอต้องรอมาครึ่งค่อนคืน

"พี่ ข้าเห็นผลิตภัณฑ์ในจอภาพ งามนัก ข้าอยากได้"

"อ๋อ เอาสิ เดี๋ยวเราก็ขายผลผลิตในอีก ๓ วันนี้แล้ว ข้าก็มีผลิตภัณฑ์ที่อยากได้เหมือนกัน"

ว่าพลางโยนช่อดอกประหลาดจากโต๊ะลงไปที่ถังขยะข้างเตา

"พี่ว่าลูกเราจะสอบผ่านระบบตำราชั้นต้นด้วยคะแนนเท่าไหร่"

"ไม่รู้สิ ข้าก็หวังให้มันได้คะแนนสูงๆ แหละ"


อยู่ระหว่างชักชวนมิตรสหายมาใช้ Twitter



เพื่อนฝูงมิตรสหายหลายคนอาจจะได้รับข้อความชักชวนของผม ดังต่อไปนี้แล้ว :

โหลๆ สวัสดี ...
มีของเล่นใหม่ กำลังติดลมบนในเมืองนอก มาชวนให้ไปใช้ เดี๋ยวรับรองต่อไปจะฮิตประมาณ email และ Blog
นั่นคือ Twitter ซึ่งอาจเคยได้รับ invite ไปแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร จะสมัครไปทำไม
ก็จะอธิบายให้ฟังดังนี้ แต่นแต๊นนนน

ก่อนอื่น ขอให้นึกถึงหลักการพื้นฐานว่า คนเราย่อมอยากรู้เรื่องของคนที่เรารู้จัก แต่ไม่ได้อยากรู้อะไรมาก แค่สั้นๆ เช่น แม่ก็อยากรู้ว่าลูกชายวัยรุ่นกินข้าวยัง หรือ พ่อห่วงลูกสาวทำงานในกทม.อยากรู้แค่ว่างานหนักไหม ส่วนเพื่อนก็อยากรู้แค่ว่าไอ้หมอนั่นมันทำงานที่ไหนแล้ว ทีนี้ คนเราก็มีเรื่องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เยอะแยะไปหมด จะมา email บอกทีละคน โทรหาทีละราย งานการไม่ต้องทำพอดี ฉะนั้น Twitter จึงกำเนิดขึ้น

เริ่มไม่ยาก แค่เรา Login เข้าไปเวบ http://www.twitter.com แล้วสร้าง account ชื่อเราขึ้นมา จากนั้นเราก็ใส่ข้อความ update ของเราลงไป เรื่องอะไรก็ได้ (ทำอะไรอยู่/กินอะไร/อารมณ์ไหน/อยากบ่นอะไร/มีอะไรจะปล่อยข่าว) ไม่ต้องยาวมาก ให้แค่ 160 คำ (เทียบเท่าๆ กับ sms มือถือ) แล้วหลังจากนั้น เราก็เพิ่มชื่อคนที่เราติดต่อด้วย เหมือน Hi5 (แต่ไม่น่ารำคาญเท่า) ให้ระบบเช็คดูว่าเพื่อนที่อยู่ใน address ของ Gmail Yahoo Hotmail มีใครใช้ Twitter อยู่บ้างก็ยังได้

คนที่เราติดต่อด้วยเนี่ยจะมีทั้งแบบ เราติดตามข่าวเขา (following เขา) หรือเขามาติดตามเรา (เป็น follower เรา) แต่ทั้งนี้ บางคนเป็นคนดังก็อาจจะมี follower มากกว่าจะไปตามข่าวใครก็ได้ ไม่แปลก

ต่างคนใครอยากจะ update อะไรก็ทำไปเลย ถี่ห่างยังไงก็ได้ เช่น กินข้าวอะไรมา / วันนี้ไปเจอคนๆ นึงงามโคตร / ดูหนังเรื่องxxxมา เน้นเลยว่าน่าดูมาก / เปลี่ยนงานแล้วได้งานที่บ.aaa / เป็นต้น เขียนภาษาไทยได้ อ่านได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้

ส่วนการ update ก็แสนสะดวกแสนสบาย จะกระทำโดยเข้าเน็ตบนเวบ หรือว่าผ่าน sms มือถือก็ได้ (แต่เสียเงินค่าส่ง sms นะ) หรือว่าจะออนไลน์บนมือถือเข้า mobileweb ก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้อง online ตลอดเวลา login เข้าเมื่อไหร่ค่อยเห็นความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ ครอบครัว ญาติ ดาราคนโปรด ค่ายข่าว (บรรดาคนที่เรา following อยู่)

อนึ่ง หากเราต้องการความเป็นส่วนตัว เราจะ lock โปรไฟล์ของเราไว้ก็ได้ นั่นหมายถึงว่า ใครที่ไม่ได้รับอนุมัติจากเราให้ติดตามข่าวเรา (ไม่ได้เป็น follower ของเรา) เขาก็จะไม่มีทางเห็นได้เลยว่าเรา update อะไรไว้บ้าง

งงปะ อิอิ ลองดูละกัน http://www.twitter.com

เสรีที่จะเลือก



เราให้คุณค่ากับเสรีภาพและอิสรภาพกันอยู่เสมอ เราเห็นพ้องต้องกันโดยไร้ข้อกังขา ว่ามนุษย์พึงมีสิทธิที่จะเลือกกระทำสิ่งต่างๆ ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น เรายินดีที่ได้เกิดและใช้ชีวิตในผืนแผ่นดินประเทศที่ให้เสรีภาพในการประกอบอาชีพและถือครองทรัพย์สิน

แต่คำถามหนึ่งซึ่งยังไม่ชัดเจนนักคือ เสรีภาพควรมีเท่าใด

หนังฮอลลีวู้ดเรื่อง Eagle Eye ตั้งคำถามต่อเรื่องดังกล่าวได้น่าสนใจ แต่แน่นอน คำตอบไม่ได้อยู่ที่หนังเรื่องนี้ แต่อยู่ที่คนดูทุกคน หรือพูดอีกนัยก็คือ ใครจะไปรู้ได้ เสรีภาพของใครจะเป็นเท่าใดจะมีใครตัดสินให้กันแทนได้

เนื้อหาของหนังซึ่งถ้ารู้ก่อนคงจะไปชมแล้วขาดอรรถรสแน่นอน เพราะว่าส่วนสำคัญที่ทำให้คนดูติดตามหนังเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ก็คือประเด็นปัญหาว่าใครกันหนอซึ่งเป็นคนบังคับตัวเอกทั้งสอง ช่างมีข้อมูลและสามารถเข้าถึงได้แทบจะทุกช่องทาง พอได้ทราบเฉลยแล้วบางคนก็อาจจะเชื่อ บางคนก็อาจจะยังลังเลว่าเป็นไปได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

ครับ สมัยก่อนไม่นานนัก ถ้าจะบอกว่าเอาของดิบใส่ตู้สี่เหลี่ยมที่ไร้ไฟแค่นาทีเดียวมันก็จะสุกได้ ก็คงไม่มีใครเชื่อเช่นเดียวกัน

เรื่องของเรื่องใน Eagle Eye เริ่มต้นจากการซุ่มสังหารผู้นำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอเมริกา (ที่ถูกเรียกว่ากลุ่มกอการร้ายนั่นล่ะ) และรัฐมนตรีกลาโหมจะต้องตัดสินใจว่าจะออกคำสั่งสังหารหรือไม่ ทั้งที่ข้อมูลที่ได้ยังไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็สั่งการไป เพราะประธานาธิบดีป็นผู้ออกคำสั่งให้ดำเนินการ นับจากนั้นมาความโกลาหลและการก่อประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินชาวอเมริกันก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น พร้อมกันกับภารกิจที่ไม่คาดฝันถูกส่งและสั่งการมายังหนึ่งหนุ่มวัยรุ่นผู้หนีโลกกระแสหลัก และหนึ่งสาว single parent วัยทำงานตัวเป็นเกลียวเบื้องหลังความสำเร็จของทนายค่าตัวแพง

เขาทั้งสองไม่ยินยอมพร้อมใจทำในสิ่งที่พวกเขาเลือกแน่นอน ตลอดทั้งเรื่องเราเห็นเขาพยายามหลีกเลี่ยง และแก้เงื่อนไขที่ผูกมัดบังคับให้เขาต้องทำตาม ฝ่ายชายถูกบังคับจากการไล่ล่าของอำนาจกระแสหลัก ฝ่ายหญิงถูกบังคับด้วยชีวิตของลูกชายตัวน้อย (ช่างเป็นเงื่อนไขที่สะท้อนด้านตรงข้ามของหยางและหยินอะไรเช่นนี้)

แต่สุดท้ายเราก็คงเดากันได้ ทั้งสองรอด เพราะทั้งสองได้เลือกที่จะทำตามความรู้สึกและใจของตัวเอง โดยไม่หวั่นเกรงต่อเงื่อนไขข้อบังคับของผู้ที่มองไม่เห็นอีกต่อไป แม้ว่าการละเมิดฝ่าฝืนนั้นอาจถึงแก่ชีวิตของตนและคนที่รัก แต่เขาก็ได้เลือกแล้วที่จะรักษาไว้ซึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น (และไม่ต้องเดาด้วยหยินหยางก็รู้ได้ว่า ...) ฝ่ายชายเลือกฝ่าฝืนเพื่อรักษาความสงบสุขของชาติ เป็นการกระทำที่พึงทำตามหน้าที่ของชายชาติทหาร (ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นทหาร และอยู่ใต้เงาของพี่ชายผู้เป็นทหารมาโดยตลอด) ฝ่ายหญิงเลือกฝ่าฝืนเพื่อความรัก ความรักที่เธอจะไม่ทำร้ายชีวิตคนๆ หนึ่งซึ่งเป็นชายที่เธอรัก

ส่วนผู้ที่มองไม่เห็นนั้นเล่า คือระบบคอมพิวเตอร์ขนาดมหึมา ผู้มีพลานุภาพมหาศาลในการเข้าถึงและสั่งการระบบอิเล็คทรอนิกส์ทั้งประเทศ เมื่อคำแนะนำของเธอ (ใช่แล้วครับ ระบบคอมพิวเตอร์ในเรื่องนี้เป็นเพศหญิงอีกแล้ว ใจร้ายมาก สังเกตไหมว่าพอหุ่นหรือระบบคอมพ์ที่เล่นบทดีประเสริฐมักเป็นเพศชาย) ถูกเพิกเฉย และเธอเห็นว่าการไม่ทำตามคำสั่งของเธอนำมาซึ่งความเสียหายมากมาย ทางที่จะรอดคือ ยึดอำนาจ ซะเลย (โฮ่ๆ) จัดการสังหารและกำจัดมนุษย์ผู้เป็นรัฐบาลเดิมออกไปให้หมด เธอมีเสรีภาพเต็มเปี่ยมที่ได้เลือกทางเส้นนี้ และเธอเชื่อว่ามันดีต่อทุกคน

ขณะเดียวกัน ความทุกข์ทรมานของตัวเอกและการบีบบังคับโดยเธอ มันก็เป็นผลมาจากการที่เธอไม่สามารถจะทำได้ตามเจตจำนงของตัวเองนั่นเอง

ผมขอสรุปง่ายๆ โดยละทิ้งประเด็นปลีกย่อยมากมายที่น่าเอามาพูดถึง ว่าประเด็นอันเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่อง Eagle Eye หาได้มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนการลุ้นว่าใครหนอบังคับให้ตัวเอกวิ่งพล่าไปทั่วประเทศอเมริกา แต่ประเด็นดังว่าเป็นเพียงการได้มี "เสรีที่จะเลือก" และไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เกิดผลกระทบต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกฝ่ายชายที่เลือกใช้ชีวิตขบถ ตัวเอกฝ่ายหญิงที่เลือกใช้ชีวิตแม่แต่ผู้เดียว และเธอผู้ที่เรามองไม่เห็นผู้นั้น ตลอดจนรัฐมนตรีและผู้นำทั้งหลาย คำถามที่ทิ้งไว้ให้ใคร่ครวญหลังหนังจบก็คือ "เราควรมีเสรีแค่ไหน" อีกด้วย

นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม

สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทองขอเชิญร่วมอบรม
นพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรม
วันพุธที่ 19 - วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2551
ณ ชะเมาชาเล่ต์ จ.จันทบุรี


ค่าใช้จ่ายรวมที่พัก อาหาร และพาหนะ 4,200 บาท 
(จัดอาหารเช้า เที่ยง และอาหารว่างแทนอาหารมื้อเย็น)

กิจกรรมแต่ละวัน
05.00 น. ตื่นนอน
05.30 น. ชี่กง และภาวนายามเช้า นำโดยอ.สันติกโร
07.30 น. รับประทานอาหารเช้า
09.00 น. วิธีการและแบบฝึกหัดในการดำรงสติ
12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยง
14.00 น. สัมภาษณ์ตามศูนย์ (Centers Panel )
17.30 น. รับอาหารว่าง/เครื่องดื่ม
19.00 น. ฟังธรรมบรรยาย
20.00 น. ภาวนาภาคค่ำ
21.00 น. แยกย้ายกลับที่พัก




สนใจติดต่อสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
โทร 02-412-0744 , 02-866-1557 โทรสาร 02-848-9756
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.komol.com

คนละข้างเดียวกัน

หลายเดือนผ่านมาแล้ว บทสนทนาในครอบครัวหนึ่งต้องยุติลงกลางคัน เพราะว่าลูกสาวเอ่ยปากอย่างสุดจะทนว่าบ้านเราไม่มีใครชอบ"มัน"หรอก มีแต่พ่อคนเดียวนั่นแหละ นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ฝ่ายพ่อก็ดูจะพูดเรื่องการเมืองน้อยลงกับลูกๆ ทีท่าในการโพล่งความเห็นขณะดูทีวีก็มีความระวังตัวมากขึ้น ลูกๆ ก็เกร็ง เกรงว่าตัวเองจะหลุดปากลุแก่โทสะขึ้นมาถ้าทนไม่ได้

หลายเดือนยิ่งขึ้นไปอีก ข่าวที่มีประปรายบนหน้าหนังสือพิมพ์ คือข่าวเพื่อนฝูงในวงเหล้าบันดาลโทสะ ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต สาเหตุเพราะโต้เถียงกันเรื่องการเมือง ต่างคนต่างยกข้อเสียของกลุ่มการเมืองที่ตนไม่เห็นด้วยมาตำหนิ ลงเอยด้วยการเสียเลือดเนื้อ

ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนกลับต้องระวังตัวในการคุยผ่านอีเมลมากขึ้น ที่มาของเรื่องเพราะผ่านการคุยเรื่องการเมืองมาหลายสัปดาห์ ส่วนที่เห็นต่างกันมีมากแต่ก็คุยได้บนฐานความเชื่อว่าเราหวังดีต่อกัน อยากให้เพื่อนได้ข้อมูล ได้รับรู้สิ่งที่เราเชื่อมั่น ทว่าไม่นานมานี้ก็เป็นอันต้องเลิกคุยกันชั่วคราว หาเรื่องอื่นมาคุยกันแทน เพราะเกิดความรู้สึกว่าเพื่อนคนอื่นดูหมิ่นดูแคลนตัวเองที่เห็นตรงกันข้าม

แตกแยกและแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้หนอ

อะไรทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเพื่อนปริแยกไปจนถึงขั้นขาดจากกันได้
และในทางกลับกัน อะไรทำให้สายสัมพันธ์นั้นคงอยู่ร่วมกันต่อไปได้

ความรักและปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายอาจจะไม่จำเป็นต้องให้เขาเชื่อเหมือนเรา
แต่แน่นอนเช่นกันว่า เราก็จะไม่เพิกเฉยละเลยการแสดงความเชื่อของเราเช่นกัน

ทีนี้ก็อาจจะเหลือแค่ ความเชื่อของต่างคนจะไม่ปักใจว่าความเชื่อที่มีดีกว่าความเชื่ออื่น

และอาจจะเหลือแค่ผู้นำที่แท้
ที่หมั่นชี้ให้เห็นถึงอนาคตซึ่งเรามีร่วมกัน
ที่เผยให้เราเห็นว่าทุกความเชื่อมีปลายทางเดียวกัน

ไม่ใช่ผู้นำที่ทำให้เราต้องเลือกข้าง

จากหนึ่งมุมมองและความห่วงใยนี้ที่มีต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน

แถลงการณ์คณะนักวิชาการ
เรื่อง เราควรมองวิกฤติการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอย่างไร?


ปรากฏการณ์ที่มีประชาชนจำนวนมากนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ายึดที่ทำการรัฐบาล และเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาลลาออก แต่ผู้นำรัฐบาลก็ยังคงยืนยันที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และได้มีนักการเมืองในวงการรัฐบาลบางนายกล่าวในที่สาธารณะว่า "เป็นการกระทำของคนหยิบมือเดียว" หรือ "เป็นการใช้กฏหมู่อยู่เหนือกฎหมาย" หรือ "เป็นการแสดงออกที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" และ "หากรัฐบาลลาออกก็จะเป็นตัวอย่างให้ผู้ไม่พอใจรัฐบาลเข้ายึดที่ทำการรัฐบาลอีก จึงตัดสินใจไม่ลาออก" นั้น

คณะนักวิชาการกลุ่มเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งซึ่งได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองด้วยความห่วงไย จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของรัฐ ๘ แห่งได้ปรึกษาหารือกันเมื่อคืนวันที่ ๓๐ สิงหาคม และเห็นสมควรแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนดังต่อไปนี้

๑. ความล้มเหลวของผู้นำรัฐบาล

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พวกเราเห็นว่าเป็นผลจากความบกพร่อง และความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของผู้นำในสถาบันทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล ที่ได้ปฏิบัติงานการเมืองโดยขาดวิจารณญาณ และความระมัดระวังอันพึงมีตามมาตรฐานของวิญญูชน ดึงดันที่จะทำสิ่งที่ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยอ้างการมีเสียงข้างมากในรัฐสภาเพื่ออ้างความชอบธรรมในการทำการต่าง ๆ ที่ขัดต่อเหตุผลตามสามัญสำนึก จนเป็นผลให้รัฐบาลไม่สามารถรักษาความเชื่อถือและความไว้วางใจอันสาธารณชนได้มอบให้ไว้ได้ต่อไป

ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นที่รับรู้กันทั่วไป และเป็นเหตุให้ความเสื่อมความเชื่อถือ และความไว้วางใจต่อรัฐบาลขยายตัวเป็นวงกว้าง นับตั้งแต่การที่นายกรัฐมนตรีประกาศตนเป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาว่ามีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย เรื่อยมาจนกระทั่งการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อให้ตนเองพ้นผิดจากข้อกล่าวหาว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและโกงการเลือกตั้ง ความพยายามรักษาประโยชน์ทางธุรกิจของพวกพ้อง จนก่อความเสียหายแก่บ้านเมืองในการดำเนินนโยบายต่างประเทศในกรณีปราสาทพระวิหาร และการใช้อำนาจตามอำเภอใจในการจัดสรรงบประมาณและโครงการต่าง ๆ อย่างฟุ่มเฟือย ปราศจากความยั้งคิดโดยไม่ฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง

๒. ความล้มเหลวของสภาผู้แทนราษฎร

ความเสื่อมความเชื่อถือและความไว้วางใจแก่ผู้นำรัฐบาลนี้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อขยายตัวไปถึงขนาดก็กลายเป็นชนวนให้เกิดการวิจารณ์ คัดค้าน แต่เมื่อมีการหยิบยกขึ้นบอกกล่าว ในรูปของการอภิปรายกันในสภาผู้แทนราษฎร แทนที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนข้างมากจะทำหน้าที่ของตนในการรับฟังข้อเท็จจริง และถ่วงดุลอำนาจฝ่ายรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่ควรจะเป็นในระบอบประชาธิปไตย การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เมื่อเสียงข้างมากในสภากลับให้การรับรองและสนับสนุนการกระทำที่ปรากฏเห็นว่าผิดอย่างแจ้งชัด โดยปราศจากเหตุผลที่พอฟังได้ เป็นเหตุให้สาธารณชนพากันลงความเห็นว่ากลไกสภาผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตยได้ฟั่นเฟือนไป กลายสภาพจากสภาผู้แทนของราษฎรส่วนรวม ที่คอยรักษาความมั่นคง ความเชื่อถือไว้วางใจ และความสุจริตในสังคม กลายเป็นสภาพวกพ้อง ใช้เสียงข้างมากกดข่มความสำนึกผิดชอบชั่วดี และเจตจำนงในการรักษาประโยชน์ส่วนรวมไว้โดยไม่ชอบ และเป็นเหตุให้สภาไร้ความสามารถ และไม่ได้รับความเชื่อถือในฐานะที่เป็นผู้แทนของราษฎรในที่สุด เหตุการณ์ทำนองนี้ปรากฏให้เห็นซ้ำซากจำเจมาเป็นเวลานานมาก จนประชาชนสิ้นหวังต่อระบบผู้แทนราษฎรที่อาจเป็นปากเสียง และสะท้อนจิตสำนึกของตนได้

เมื่อสำนึกผิดชอบชั่วดี รู้จักแยกแยะผิดถูก และสำนึกในการรักษาประโยชน์ส่วนรวมที่มีอยู่ในหมู่ประชาชน อันเป็นสำนึกอันจำเป็น และเป็นปัจจัยแรกเริ่มในการจัดตั้งอำนาจการปกครองแผ่นดินถูกกดข่มไว้ด้วยวิธีฉ้อฉลต่าง ๆ ไม่ให้แสดงออกผ่านทางกลไกปกติที่วางไว้ตามรัฐธรรมนูญเช่นนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก นานเข้า ๆ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ประชาชนซึ่งทรงไว้ซึ่งสำนึกผิดชอบชั่วดีเหล่านั้น จะพากันต่อต้าน และหาทางขจัดข้อขัดข้องนี้เสียเอง และเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาย่อมหาทางแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของตนออกมาโดยตรงนอกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการประท้วงรัฐบาลผ่านทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

๓. ความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อระบอบประชาธิปไตย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นพยานของความล้มเหลวของรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร ที่สมควรได้รับการพิจารณาแก้ไขเสียโดยเร็ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น ที่เป็นสิ่งพึงปรารถนา ก็เพราะความเชื่อกันว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยเหตุผล ไม่ใช่การปกครองโดยเสียงข้างมากตามอำเภอใจ การที่เรายอมรับเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ก็เพราะความเชื่อว่า เสียงข้างมากย่อมสะท้อนเหตุผลของคนหมู่มาก หรือสะท้อนเหตุผลสามัญสำนึกของส่วนรวมได้ดีที่สุดเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ การอ้างเสียงข้างมากที่ขัดต่อเหตุผล ขัดต่อสามัญสำนึก ขัดต่อสำนึกถูกผิดอันบุคคลทั่วไปพึงมี ย่อมไม่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย และอันที่จริง การที่ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยต้องอาศัยกลไกตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ ก็เพื่อถ่วงดุลเสียงข้างมากนั่นเอง และการที่มีกลไกตัดสินข้อพิพาทโดยศาลซึ่งเป็นผู้รู้จำนวนน้อยที่เชื่อว่า เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมาตรฐานผิดชอบชั่วดี สามัญสำนึกของสังคม และหลักวิชาอันพึงยอมรับ ก็เพื่อคุ้มครองให้เสียงข้างมากตั้งอยู่ในกรอบแห่งความมีเหตุผล สอดคล้องกับสำนึกถูกผิดนั่นเอง

๔. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

การที่ประชาชนจำนวนหลายแสนคนเข้าร่วมประท้วงรัฐบาล โดยเข้ากันเป็นหมู่พวกที่ชัดเจนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เป็นแต่เพียงประชาชนกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมคัดค้านรัฐบาล ดังที่มีนักการเมืองบางนายกล่าวว่าเป็นคนหยิบมือเดียว แต่เป็นการแสดงออกของประชาชนส่วนรวมในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การแสดงออกเช่นนี้เป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยโดยตรงของประชาชน ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบประชาชนมีส่วนร่วมอันพึงได้รับความเคารพ อย่างน้อยในระดับเดียวกันกับการแสดงออกของสภาผู้แทนราษฎร

๕. ข้อเรียกร้องต่อผู้นำรัฐบาล

พวกเราเห็นว่าในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถรักษาความเชื่อถือและความไว้วางใจจากสาธารณชนไว้ได้ โดยล้มเหลวในการให้เหตุผลอธิบายความชอบธรรมในการกระทำของตนอย่างสิ้นเชิง ได้แต่เพียงอ้างว่าตนได้รับเลือกมาด้วยเสียงข้างมากเช่นนี้ หากรัฐบาลยังจะยืนยันที่จะบริหารราชการแผ่นดินต่อไป โดยปราศจากความเชื่อถือและความไว้วางใจในความสุจริต และความสามารถของผู้นำว่าจะวินิจฉัยและตกลงใจอย่างมีเหตุผล การปฏิบัติงานก็ย่อมจะเต็มไปด้วยอุปสรรคนานับประการ และจะก่อให้เกิดวิกฤติการณ์ และความไม่มั่นคงในบ้านเมืองอย่างรุนแรงต่อไปอย่างต่อเนื่อง

พวกเราขอเรียกร้องมายังผู้นำรัฐบาลด้วยความเคารพ ขอท่านได้โปรดใช้สามัญสำนึกใตร่ตรองดูว่า การที่ประชาชนจำนวนมากพากันแสดงออกทางการเมืองด้วยการเข้ายึดที่ทำการของรัฐนั้น มีเหตุผลประการใด และพวกเราใคร่ขอวิงวอนมายังผู้นำในรัฐบาลให้พิจารณาเหตุผลข้างต้นนี้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมในระยะยาวอย่างจริงจัง และหากเห็นชอบด้วยก็ขอท่านได้โปรดพิจารณาตนเองให้พ้นจากตำแหน่งไปโดยเร็ว เพื่อจะได้มีการดำเนินการคัดเลือกผู้นำทางการเมืองที่เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป

๖. ข้อเรียกร้องต่อพันธมัตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พวกเราขอเรียกร้องมายังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยใคร่เรียนมาด้วยความนับถือว่า แม้ข้อเท็จจริงทางสังคมที่ประชาชนจำนวนมากจากทั่วประเทศ ได้แสดงออกโดยปริยายว่ายอมรับให้ท่านเป็นผู้แสดงออกซึ่งเจตจำนงของปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และท่านย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะแสดงออกซี่งสำนึกผิดชอบชั่วดี และสำนึกต่อประโยชน์ส่วนรวมให้ปรากฏแก่สังคมโดยรวม และมีสิทธิโดยชอบในการกำหนดเจตจำนงทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็ตาม การแสดงออกของท่านทั้งหลายย่อมต้องจำกัดอยู่ในขอบเขตแห่งความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของบุคคลอื่นทั้งปวง

และแม้พวกเราเชื่อโดยสุจริตใจว่า การที่ท่านเข้ายึดครองที่ทำการรัฐบาล เป็นแต่เพียงการแสดงออกซึ่งสัญญลักษณ์ทางการเมืองเพื่อคัดค้านการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลก็ตาม แต่การกระทำเช่นนั้นย่อมจำกัดให้กระทำได้เพียงชั่วคราว ตามสมควรแก่เหตุเท่านั้น

พวกเราเห็นว่า บัดนี้การกระทำของท่านทั้งหลายได้ดำเนินมาจนใกล้ถึงจุดสูงสุดที่พึงกระทำแล้ว ดังนั้นเราใคร่ขอเรียกร้องให้ท่านหันมาให้น้ำหนักแก่การทำหน้าที่สื่อสารมวลชน และจัดให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้การศึกษาทางการเมืองซึ่งท่านได้ทำมาอย่างดีเยี่ยมต่อไป โดยเปิดช่วงเวลาให้รัฐบาลได้ทบทวนและพิจารณาตนเองตามสมควร ปล่อยให้สาธารณชนเข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดเจตจำนงทางการเมืองโดยวิถีทางปกติ และกระบวนการยุติธรรมดำเนินกระบวนการวินิจฉัยผิดถูกต่อไป หากท่านเห็นมีข้อขัดข้องสำคัญเกิดแก่บ้านเมืองอีกจึงค่อยกลับมารวมตัวกันเพื่อกำหนดเจตจำนงทางการเมืองรว่วมกับปวงชนอีกครั้งหนึ่ง

๗. ข้อเรียกร้องต่อสังคมโดยรวม

พวกเราใคร่ขอเรียนมายังสังคมโดยส่วนรวมด้วยความเป็นห่วงว่า ปรากฏการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในเขตจังหวัดภาคใต้ กรณีที่ฝูงชนเข้าประทุษร้ายผู้ชุมนุมสาธารณะที่อุดรธานี และวิกฤติการณ์ทางการเมืองจากการเข้ายึดที่ทำการรัฐบาลในกรุงเทพมหานครซึ่งลุกลามไปเป็นการลุกฮือของสาธารณชนนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากเหตุทำนองเดียวกัน และแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่ ซึ่งสถาบันทางการเมือง และสถาบันทางสังคม รวมทั้งสถาบันทางการศึกษายังปรับตัวได้ไม่ทัน

เป็นที่เห็นได้ชัดว่า ในสังคมของเรานั้น วัฒนธรรมการโต้แย้งกันอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผล ด้วยความสุภาพ ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน และการรับฟังและการไตร่ตรองชั่งน้ำหนักเหตุผลและประโยชน์ได้เสียที่แตกต่างกันก่อนการตกลงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ยังนับว่าอ่อนแออย่างยิ่ง การแสดงความคิดเห็นเต็มไปด้วยการกล่าวอ้างฝ่ายเดียว การประนามผู้อื่นโดยไม่เปิดโอกาสให้มีการโต้แย้งด้วยเหตุผลอย่างจริงจัง และอย่างเป็นระบบติดต่อกันจนเพียงพอที่จะให้เกิดความเปลี่ยนแปลงระดับความรู้ และความสำนึกในวงกว้าง แม้สื่อสารมวลชนก็ได้แต่สื่อข่าวสารบันเทิง และเน้นประโยชน์เชิงธุรกิจการค้า ล้มเหลวในการสื่อสารสิ่งที่สำคัญและจำเป็นแก่สังคม วงวิชาการขาดการค้นคว้า และส่งเสริมนวัตกรรม กลไก สถาบันทางสังคม และกิจกรรมในการเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขจัดข้อขัดแย้งด้วยความฉลาด และสมประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้องโดยเร็ว เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสังคมจะต้องลงทุนสร้างเสริมให้มีขึ้นยิ่งกว่าการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ หรือการซื้อฝูงบินหรือกองรถถัง หรือ การลงทุนสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินหรือลอยฟ้าใด ๆ

ด้วยความคารวะและไมตรีจิต

จาก email ของคุณ Kittisak Prokati

ข้ามผ่านความตายในเชิงสัญญะ



อาจจะเป็นเพียงแค่หนังสยองขวัญธรรมดาทั่วไปของไทยอีกเรื่องหนึ่ง "โลงต่อตาย" เล่าเรื่องหลอนที่ตามมาหลังจากตัวละครตัดสินใจเข้าพิธีนี้ นอนในโลงศพเพื่อต่ออายุให้กับตนเอง หรือคนที่ตนเองรัก ภาพประชาสัมพันธ์และตัวอย่างภาพยนตร์ไม่มีอะไรทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความแตกต่างจากหนังผีเรื่องอื่นๆ แต่หลายคนตัดสินใจดูเพราะเชื่อมือของผู้กำกับเอกชัย เอื้อครองธรรม ว่าคงไม่ทำหนังผีดาดๆ แน่นอน บางคนก็อาจจะตัดสินใจจากข้อมูลที่ว่าเป็นผลิตผลจากการร่วมทุนหลายชาติ

*** ข้อความต่อไปจะเปิดเผยเรื่องราวของหนัง ***

ตัวละครนำในเรื่องทั้งสองคน ต่างต้องพบกับวิญญาณติดตามมาหลังจากทำพิธีแล้วเสร็จ ผิดแผกกันที่ฝ่ายชายหวังจะให้แฟนสาวซึ่งกำลังป่วยหนักได้รอด และฝ่ายหญิงขอให้ตัวเองหายจากโรคร้าย เรื่องของทั้งสองดำเนินไปคู่ขนานกัน แต่ว่าไม่ได้เป็นในระนาบเวลาเดียวกัน บทเรียนของฝ่ายชายทำให้เธอเข้าใจกรณีของตัวเองมากขึ้น และเผชิญกับปัญหาในที่สุด

สิ่งที่ประทับใจผมมากคือ หนังเรื่องนี้คือเรื่องว่าด้วย "การเผชิญความตายอย่างสงบ" ที่หลวงพี่ไพศาล และเครือข่ายพุทธิกา จัดฝึกอบรมมานานปี แม้หน้าหนังจะเต็มไปด้วยภาพสยองน่ากลัว สถานการณ์ที่บีบคั้นบังคับ แต่การที่ตัวละครข้ามพ้นเหตุวิกฤตทั้งหลายมาได้ ไม่ใช่ด้วยพระสงฆ์มาสวดปัดเป่า เหมือนดังขนบธรรมเนียมของหนังผีไทยทั้งหลาย และไม่ใช่ด้วยการขอโทษขออภัยขอขมาสารพัดขอต่อผีร้ายอีกด้วย

ภาพของผีในตอนท้ายเรื่องเป็นผีที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก สิ่งที่เป็นสาระสำคัญคือ ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหากเรายอมรับและเผชิญหน้ากับความตายได้ ไม่ใช่ด้วยการหลบเลี่ยงใช้กลโกงซึ่งไม่เคยได้ผลอย่างแท้จริง เมื่อเขาและเธอกล้าที่จะลงไปนอนในโลงอีกครั้ง เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายโดยไม่ต่อต้านขัดขืน ยอมรับและน้อมทำไปตามเหตุปัจจัยที่เกิด มากกว่าการพยายามเอาชนะธรรมชาติ

ผลที่ได้? แม้โรคร้ายจะกลับมา แม้คนที่รักจะจากไป แต่ความสงบเย็นในใจของทั้งสองเกิดขึ้นอย่างชัดแจ้ง เหตุการณ์ร้ายที่เกิดกับตัวของทั้งสองและคนรอบข้างไม่มีปรากฏอีก

หรือวิญญาณและภูตผีคือมายาการในจิตใจของตนเองที่หลอกหลอน ทำให้คนเราต้องดิ้นรนต่อสู้ เพราะยึดมั่นยึดถือว่าตนมีความสามารถเอาชนะทุกสิ่ง และพยายามจะยื้อร่างกายและชีวิตที่ไม่จีรังยั่งยืนนี้ไว้ กลับกลายเป็นแบกทุกข์ติดตัวตามไปทุกที่

มิน่าล่ะ .. ถึงได้ตั้งชื่อเรื่องว่า โลงต่อตาย

ความเข้าใจ ความกล้าหาญ และสถานการณ์ในร้านตัดผม

หลายเดือนที่แล้วผมไปร้านตัดผมเจ้าประจำ พบว่ามีลูกค้ารายอื่นรออยู่ก่อนหน้าก็ไม่น้อย ช่างที่ตัดให้กันเป็นประจำบอกว่านอกจากจะมีลูกค้าที่กำลังให้บริการอยู่ ยังมีอีกคน เป็นคิวต่อไป หลังจากผมตกลงใจนั่งรออยู่พักใหญ่จนคิวแรกตัดผมเสร็จ ช่างก็เรียกน้องนักเรียนม.ปลายที่เป็นคิวก่อนหน้าด้วยท่าทางสนิทสนม เข้าใจว่าคงเป็นเพื่อนบ้านที่คุนเคยกันดี แต่แทนที่หนุ่มน้อยคนนี้จะไปนั่งที่เก้าอี้ เขากลับบอกปฏิเสธเบาๆ ทำท่าบุ้ยใบ้มาที่ผม ช่างบอกว่า "งั้นให้พี่เขาก่อนนะ" พร้อมพยักเพยิดเชิญผมเข้าประจำที่

ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาก่อนความรู้สึกอื่นใด แล้วค่อยคิดว่าอยากจะขอบคุณน้องผู้เสียสละคิวให้ด้วย ในเวลานั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมารับสายและเดินไปมาเข้าออกบริเวณประตูหน้าร้าน ระหว่างที่ผมนั่งรับบริการตัดผมอย่างเพลิดเพลินไปแล้วสักพัก หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้าร้านมาอย่างคุ้นเคยสถานที่ พร้อมเอ่ยปากพูดกับน้องม.ปลายว่า "มึงไปมัวทำอะไรอยู่ แทนที่จะรีบมาตัดผม เอาเวลาไปทำอะไร"

ผมสรุปจากบทสนทนาได้ว่าเขาเป็นแม่ลูกกัน เพราะจากสรรพนามที่เธอใช้และท่าทีที่โต้ตอบแต่น้อยของเขา "กูเห็นไอ้พวกนั้นมันไปป้อผู้หญิงอยู่ วันๆ ไม่ทำห่าอะไร" เธอติอย่างไม่ไว้หน้า "เพื่อนก็ส่วนเพื่อนดิ คนละคนกัน" เขาแย้งไมเต็มเสียง "มึงไม่ต้องมาเถียงเลย มีหน้าที่ฟังก็ฟัง กูพูดอะไรึงต้องเชื่อ" คราวนี้การสนทนาส่วนใหญ่ออกมาจากเธอฝ่ายเดียว พร้อมกับท่าทีที่ดูเบื่อโลกมากขึ้นไปอีกของเขา ผมคิดขึ้นมาทันทีว่าเยาวชนจะเติบโตอย่างสมบูรณ์และงดงามได้อย่างไรถ้าได้รับการเพาะชำอย่างรุนแรงและขาดความเข้าอกเข้าใจอย่างนี้

เวลานั้นผมก็เสร็จธุระบนเก้าอี้ตัดผมพอดี ระหว่างที่ส่งเงินให้ช่าง ตาก็อดเหลือบมองสองคนนี้ไม่ได้ ส่วนใจนั้นดิ่งไปที่ทั้งคู่แล้ว อยากเข้าไปบอกพี่สาวคนนั้นเหลือเกินว่า "พี่ครับ ลูกชายของพี่เป็นคนมีน้ำใจมากครับ เขาสละคิวให้ผมได้ตัดก่อน พี่ภูมิในตัวเขาได้เลยครับ" แต่ผมกลับยืนรอรับเงินทอน เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านไป ไม่มีแม้คำขอบคุณที่อยากจะเอ่ยบอกน้องเขา

ระหว่างเดินมาขึ้นรถ ความคิดมันแวบตั้งคำถามขึ้นมาว่า อะไรนะที่มายับยั้งไม่ให้ผมทำในสิ่งที่ผมคิด ผมกลัวหรือเปล่า? ผมกลัวว่าผลที่ได้รับจากการพูดจะออกมาไม่สวยงาม กลัวจะเจอใบหน้าบึ้งตึงแทนรอยยิ้มใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นผมคาดหวังผลที่จะได้รับจากการทำของตัวเองน่ะสิ ไม่เพียงคาดหวังแค่นั้น ผมยังทำให้สิ่งที่คาดเอาไว้เป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ผมถึงเลือกที่จะไม่พูด แม้ใจจะคิด

ถ้าอย่างนั้นจะต่างอะไรกันกับผู้เป็นแม่ที่เห็นและเชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกชายวัยมัธยมปลายของตนทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย แม้ใจธอจะอยากให้เขาเป็นคนดีและเชื่อฟัง แต่เพราะเธอเชื่ออย่างนั้นจนมันเป็นจริงขึ้นในความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นคือเธอได้ตัดสินโทษและปิดกั้นโอกาสที่เขาจะได้ให้ความจริงด้านอื่นๆ ของชีวิตปรากฏแก่สายตาเธอ

บางทีเขาอาจจะต้องการความกล้าหาญในการสื่อสารอย่างเหมาะสม บางทีผมอาจจะต้องการความกล้าหาญในการสื่อสารสิ่งที่มั่นใจว่าดี บางทีเราต่างก็ต้องการความเข้าใจจากกันและกันว่าเราล้วนแล้วแต่ปรารถนาดีต่อกัน บางทีหรือว่าทุกที? ที่เราต่างต้องการจากกันและกัน

สะพานกระดานสะพรึง



คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ฉบับวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๑

สองสัปดาห์ก่อน นักศึกษาในชั้นเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ มหิดล ล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากภาพและข้อมูลเกี่ยวกับบ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ ที่ได้ผ่านตา เห็นสภาพของโบสถ์ที่ถูกคลื่นทะเลซัด ได้รู้ว่าชาวบ้านที่นั่นต้องย้ายบ้านมากกว่า ๔-๕ ครั้งในชั่วเวลาไม่กี่ปีเพราะพื้นที่ชายฝั่งหดหายไปอย่างรวดเร็ว สัปดาห์ต่อมา นักศึกษาทุกคนต่างช่วยกันติดต่อประสานและลงขันสมทบทุนกันให้ได้ไปเยือนยังชุมชนนั้น ส่วนหนึ่งเขาก็อยากจะเรียนรู้จากของจริงนอกห้องเรียน ส่วนบางคนก็มุ่งมั่นต้องการไปช่วยเหลือปลูกป่าชายเลนด้วยรู้สึกว่าชาวบ้านช่างเจอทุกข์หนักเหลือเกิน

เช้าวันนั้นป้าสมรผู้ใหญ่บ้านได้บรรยายบอกเล่าความเป็นมาของหมู่บ้านและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมอย่างเรียบง่าย พร้อมชี้ชวนให้เราดูภาพถ่ายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เราทุกคนรับรู้ได้ถึงพลังของความมุ่งมั่นตั้งใจจากหญิงแกร่งคนนี้ที่ไม่ได้ทำเพื่อให้อยู่รอดเฉพาะหน้า แต่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคืออดีตแห่งความภาคภูมิของบรรพบุรุษ อนาคตความมั่นคงของลูกหลาน และภารกิจสำคัญของการพิทักษ์ผืนแผ่นดิน

ต่อเมื่อเช้าของการรับฟังและท่องชมสถานที่ต่างๆ ในหมู่บ้านผ่านไป หลังจากผู้มาเยือนได้เห็นความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชน ได้ยินคำบอกเล่าชีวิตจริงของการต่อสู้ และได้สัมผัสบรรยากาศจริงของโรงเรียนและวัดขุนสมุทรจีนซึ่งคงอยู่คู่กับชุมชนได้ด้วยพลังแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่นแล้ว เมื่อย่างเข้ายามบ่ายได้เวลาที่พวกเราผู้มาเยือนเป็นฝ่ายมอบแรงกายช่วยปลูกป่าชายเลนบ้าง ต่างคนต่างตื่นเต้นและดิ่งเดินตรงไปบนสะพานคอนกรีตกว้างแค่พอสวนกันได้ เบื้องล่างลงไปร่วมสามเมตรนั้นเป็นผืนน้ำและโคลนเลน แหล่งเลี้ยงเพาะกุ้ง หอย ปลา ที่ทำกินของชาวบ้าน

ผู้เขียนในฐานะผู้ช่วยสอนซึ่งเดินรั้งท้าย ระหว่างที่ก้าวขึ้นไปบนสะพานยังได้ยินเสียงคุณป้าคุณลุงร้องบอกให้คณะถ่ายทำรายการโทรทัศน์ที่บังเอิญมาในวันเดียวกันรีบตามไปเก็บภาพการปลูกป่า ครั้นหันความสนใจกลับมาที่สะพานคอนกรีตตรงหน้า และก้าวเดินไปพักเดียวก็ต้องใจหาย เมื่อเห็นว่าทางคอนกรีตเบื้องหน้าหาได้เชื่อมต่อกันตลอด ช่องขาดหลายช่วงนั้นมีกระดานไม้วางเป็นสะพานพาดเชื่อมอยู่เป็นระยะ

แม้สะพานแรกๆ จะเป็นกระดานสี่แผ่นก็ตาม ยามที่เดินไปแล้วไม้ยวบยุบตัวตามน้ำหนัก ผู้เขียนก็เกิดกังวลวิตกต่างๆ นานา ห่วงสิ่งของสัมภาระในเป้สะพายหากเผลอพลัดหล่นไป แม้จะข้ามมาแล้ว ๔ สะพานก็ยังรู้ได้ว่าใจไม่ปกติ จังหวะที่ได้เดินบนสะพานคอนกรีตก็เหลียวไปสังเกตคณะถ่ายทำรายการซึ่งอยู่แต่ไกล หันหน้าชะเง้อไปดูนักศึกษาที่เดินไปแล้วก่อนหน้า พร้อมกลับมาปลุกปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่นานหรอกคงจะถึงที่หมายแล้ว แต่สะพานกระดานไม้ก็ยังมีอยู่ต่อไป สะพานแล้วสะพานเล่า พร้อมกับขนาดที่เล็กลง จากสี่แผ่น เหลือสอง บ้างเหลือแค่หนึ่ง ซ้ำร้ายบางแห่งไม่มีราวไม้ไผ่ให้จับด้วย ถึงกระนั้นทุกคนก็ผ่านพ้นไปได้ ทั้งขาไปและขากลับ

เราจากลาผู้ใหญ่บ้านและชาวชุมชนมาเมื่อยามเย็น และใช้โอกาสระหว่างเวลาเดินทางบนรถบัสมาสะท้อนบทเรียนจากบ้านขุนสมุทรจีนในยามค่ำ ประเด็นแลกเปลี่ยนดำเนินไปอย่างออกรส ครอบคลุมทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม โลกทัศน์และความเชื่อ ผู้เขียนตั้งประเด็นถามขึ้นว่าใครรู้สึกกลัวบ้างเมื่อต้องข้ามสะพานนั้น พร้อมเผยตรงไปตรงมาว่าสำหรับตนเองแล้วนั่นเป็นสถานการณ์น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง แม้จะไม่แสดงออกให้คนอื่นเห็นก็ตาม ปรากฏว่าเพื่อนร่วมทางเกือบทั้งหมดยกมือยอมรับว่ารู้สึกกลัว

ความกลัวเป็นสิ่งที่เรามีร่วมกันต่อสะพานกระดานไม้นั้น หลายเสียงสะท้อนบอกตรงกันว่าชั่วขณะก่อนที่จะก้าวลงบนกระดานไม้ ความกลัวช่างมีอำนาจมากมายนัก มันทำให้เราจินตนาการล่วงหน้าว่าเราอาจได้รับบาดเจ็บ ต้องเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไปจนถึงละอายขายขี้หน้าคนอื่น มายาภาพเหล่านี้แม้ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ทำให้เราชะงักและลังเลขึ้นทุกครั้งได้

สำหรับผู้เขียนยิ่งประหลาดใจเมื่อย้อนมองกลับไปเห็นตัวเองว่า ยามที่กำลังลังเลว่าจะข้ามกระดานต่อไป ในใจก็เกิดเหตุผลขึ้นมาอ้างสารพัดว่าเพราะอะไรจึงควรจะไม่ไปต่อ ยิ่งได้เห็นคณะถ่ายทำรายการโทรทัศน์ล้มเลิกความตั้งใจและเดินกลับกลางคัน อาจเพราะต้องแบกกล้องตัวใหญ่หรืออะไรก็ตาม ยิ่งคิดเข้าข้างตัวเองมากขึ้น ทั้งที่จริงแล้วมีความกลัวเท่านั้นที่เป็นตัวผลักดันไม่ให้ทำในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ และยับยั้งไม่ให้เดินไปถึงจุดหมาย

พวกเราพบว่าสิ่งที่ควรกระทำในเวลานั้นไม่ใช่การระงับความกลัว แต่แค่ตระหนักและรู้ว่าเกิดความกลัว ไม่จมจ่อมอยู่กับมันจนหวั่นหวาดไปกับมายาภาพ หรือยกอ้างเหตุผลนานา เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ความกลัวหายไป มันเกิดเพราะเหตุต้องเดินบนทางที่ไม่คุ้นเคย เมื่อเราเดินข้ามกระดานไม้แต่ละช่วงมาได้เราก็พบว่าความกลัวมันหายไป แม้มันจะกลับมาใหม่เมื่อต้องข้ามอีก แต่เราก็ไม่ถูกมันควบคุมบงการโดยไม่รู้ตัวอีก

เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต ดังเช่นการพูดในที่สาธารณะ ถ้าถูกความกลัวครอบงำจนขาดสติระลึกรู้เสียแล้ว เราก็จะขาดโอกาสได้ลองเป็นคนใหม่ เป็นคนซึ่งสามารถพูดในที่สาธารณะได้ แม้จะไม่ใช่นักพูดที่ดีเลิศ แต่สิ่งนี้จะไม่เป็นอุปสรรคในชีวิตที่เป็นดินแดนต้องห้ามของเราอีก เมื่อข้ามผ่านความกลัวไป ย่อมได้เปิดโอกาสไว้ที่ปลายทางนั้น

อาจารย์ประจำวิชาเล่าให้นักศึกษาและสมาชิกบนรถบัสฟังว่า “คนกล้าหาญไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัว ทุกคนต่างก็มีความกลัวไม่มากก็น้อย การที่เราทำในสิ่งที่เรารู้สึกเฉยๆ การลงมือทำในสิ่งที่เราเองก็รู้สึกเกรงกลัวต่างหากที่เป็นความกล้าหาญ”

ผู้เขียนนึกถึงคำถามของตนที่ตั้งไว้ก่อนไปเยือนบ้านขุนสมุทรจีนว่า ทำไมพวกเขาถึงไม่ย้าย ซ้ำยังยืนหยัดต่อสู้ธรรมชาติแม้จะดูไม่มีความหวังนัก แล้วก็ได้คำตอบหนึ่งให้แก่ตัวเองว่า ชาวชุมชนก็คงหวาดกลัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่พลิกวิถีชีวิตของตนเช่นกันกับเราที่หวาดหวั่นการเดินข้ามสะพานกระดานไม้ แต่แทนที่เขาจะย้ายถิ่นฐานเลี่ยงไปประกอบอาชีพอื่น เขากลับปลุกความกล้าหาญขึ้นพร้อมเผชิญภัยเบื้องหน้า และก้าวต่อไปเขียนประวัติศาสตร์ให้ตนเอง

จากเดิมชั้นเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมฯ ของเราตั้งใจจะไปเรียน ไปช่วย และให้กำลังใจชาวบ้าน แต่กลับพบว่าเราเป็นฝ่ายได้รับแรงบันดาลใจอย่างมาก เราได้เดินทางไปรับรู้และเข้าใจเขาอย่างที่เขาเป็น เราได้เข้าใจตนเองจากการเดินทางเข้าสู่ชีวิตด้านใน และเราได้ข้ามสะพานกระดานที่สอนว่า เรานั่นเองคือผู้เลือกข้ามความสะพรึงกลัวที่ตัวเราเองสร้างขึ้นเพื่อไปเปิดโอกาสใหม่ให้ชีวิตของเราได้