ความเข้าใจ ความกล้าหาญ และสถานการณ์ในร้านตัดผม

หลายเดือนที่แล้วผมไปร้านตัดผมเจ้าประจำ พบว่ามีลูกค้ารายอื่นรออยู่ก่อนหน้าก็ไม่น้อย ช่างที่ตัดให้กันเป็นประจำบอกว่านอกจากจะมีลูกค้าที่กำลังให้บริการอยู่ ยังมีอีกคน เป็นคิวต่อไป หลังจากผมตกลงใจนั่งรออยู่พักใหญ่จนคิวแรกตัดผมเสร็จ ช่างก็เรียกน้องนักเรียนม.ปลายที่เป็นคิวก่อนหน้าด้วยท่าทางสนิทสนม เข้าใจว่าคงเป็นเพื่อนบ้านที่คุนเคยกันดี แต่แทนที่หนุ่มน้อยคนนี้จะไปนั่งที่เก้าอี้ เขากลับบอกปฏิเสธเบาๆ ทำท่าบุ้ยใบ้มาที่ผม ช่างบอกว่า "งั้นให้พี่เขาก่อนนะ" พร้อมพยักเพยิดเชิญผมเข้าประจำที่

ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาก่อนความรู้สึกอื่นใด แล้วค่อยคิดว่าอยากจะขอบคุณน้องผู้เสียสละคิวให้ด้วย ในเวลานั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมารับสายและเดินไปมาเข้าออกบริเวณประตูหน้าร้าน ระหว่างที่ผมนั่งรับบริการตัดผมอย่างเพลิดเพลินไปแล้วสักพัก หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้าร้านมาอย่างคุ้นเคยสถานที่ พร้อมเอ่ยปากพูดกับน้องม.ปลายว่า "มึงไปมัวทำอะไรอยู่ แทนที่จะรีบมาตัดผม เอาเวลาไปทำอะไร"

ผมสรุปจากบทสนทนาได้ว่าเขาเป็นแม่ลูกกัน เพราะจากสรรพนามที่เธอใช้และท่าทีที่โต้ตอบแต่น้อยของเขา "กูเห็นไอ้พวกนั้นมันไปป้อผู้หญิงอยู่ วันๆ ไม่ทำห่าอะไร" เธอติอย่างไม่ไว้หน้า "เพื่อนก็ส่วนเพื่อนดิ คนละคนกัน" เขาแย้งไมเต็มเสียง "มึงไม่ต้องมาเถียงเลย มีหน้าที่ฟังก็ฟัง กูพูดอะไรึงต้องเชื่อ" คราวนี้การสนทนาส่วนใหญ่ออกมาจากเธอฝ่ายเดียว พร้อมกับท่าทีที่ดูเบื่อโลกมากขึ้นไปอีกของเขา ผมคิดขึ้นมาทันทีว่าเยาวชนจะเติบโตอย่างสมบูรณ์และงดงามได้อย่างไรถ้าได้รับการเพาะชำอย่างรุนแรงและขาดความเข้าอกเข้าใจอย่างนี้

เวลานั้นผมก็เสร็จธุระบนเก้าอี้ตัดผมพอดี ระหว่างที่ส่งเงินให้ช่าง ตาก็อดเหลือบมองสองคนนี้ไม่ได้ ส่วนใจนั้นดิ่งไปที่ทั้งคู่แล้ว อยากเข้าไปบอกพี่สาวคนนั้นเหลือเกินว่า "พี่ครับ ลูกชายของพี่เป็นคนมีน้ำใจมากครับ เขาสละคิวให้ผมได้ตัดก่อน พี่ภูมิในตัวเขาได้เลยครับ" แต่ผมกลับยืนรอรับเงินทอน เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านไป ไม่มีแม้คำขอบคุณที่อยากจะเอ่ยบอกน้องเขา

ระหว่างเดินมาขึ้นรถ ความคิดมันแวบตั้งคำถามขึ้นมาว่า อะไรนะที่มายับยั้งไม่ให้ผมทำในสิ่งที่ผมคิด ผมกลัวหรือเปล่า? ผมกลัวว่าผลที่ได้รับจากการพูดจะออกมาไม่สวยงาม กลัวจะเจอใบหน้าบึ้งตึงแทนรอยยิ้มใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นผมคาดหวังผลที่จะได้รับจากการทำของตัวเองน่ะสิ ไม่เพียงคาดหวังแค่นั้น ผมยังทำให้สิ่งที่คาดเอาไว้เป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ผมถึงเลือกที่จะไม่พูด แม้ใจจะคิด

ถ้าอย่างนั้นจะต่างอะไรกันกับผู้เป็นแม่ที่เห็นและเชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกชายวัยมัธยมปลายของตนทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย แม้ใจธอจะอยากให้เขาเป็นคนดีและเชื่อฟัง แต่เพราะเธอเชื่ออย่างนั้นจนมันเป็นจริงขึ้นในความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นคือเธอได้ตัดสินโทษและปิดกั้นโอกาสที่เขาจะได้ให้ความจริงด้านอื่นๆ ของชีวิตปรากฏแก่สายตาเธอ

บางทีเขาอาจจะต้องการความกล้าหาญในการสื่อสารอย่างเหมาะสม บางทีผมอาจจะต้องการความกล้าหาญในการสื่อสารสิ่งที่มั่นใจว่าดี บางทีเราต่างก็ต้องการความเข้าใจจากกันและกันว่าเราล้วนแล้วแต่ปรารถนาดีต่อกัน บางทีหรือว่าทุกที? ที่เราต่างต้องการจากกันและกัน

1 comments:

อาร์ต said...

ตอนที่ไปรอพนักงานบดกาแฟให้ ใน supermarket มีสองสาวเดินมาหาของแถวนั้น แต่มันดันอยู่ชั้นบนสุด ที่ทั้งคู่เอื้อมไม่ถึง

ทั้งสอง พยายามเอื้อมหยิบ แต่ก็เอาไม่ได้

เรามอง ละล้าละลัง ว่าจะช่วยเขายังไงดี ใจหนึ่งก็คิดว่า อย่าเลย ไม่เข้าท่า เดี๋ยวพนักงานเขาจีดการเอง แต่อีกใจก็บอกว่า พนักงานไม่รู้หรือเปล่า

เราเลยหันมาบอกน้องที่บดกาแฟอยู่ว่า "น้่อง ตรงนั้นเขาหยิบของไม่ถึงน่ะ ผมจับอันนี้ให้ก่อนไหม"

เขาหันไปมองแล้วบอก ไม่เป็นไรครับ

แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป

โดยที่สองสาวนั้นก็ไม่ได้ของ เราก็หน้าแตก และคิดในใจว่า "ไม่น่าเลยกู"

Post a Comment