เกือบไปแล้ว


หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2555

ในวันหยุดสุดสัปดาห์เมื่อไม่นานมานี้ ผมเลือกพักผ่อนด้วยการไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงก็ออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะเป็นวันที่มีลูกค้ามารอคิวซื้อตั๋วกันเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนผมจะตกข่าวไป ไม่รู้ว่ามีหนังดังเรื่องไหนเข้าฉาย ได้แต่เดินไปเข้าคิวรอซื้อตั๋วหนังเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะมาดู

ครั้นพอได้ตั๋ว สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ ไปรอซื้อน้ำกับป็อปคอร์นไว้กินในโรง ทั้งไม่ได้เฉลียวใจ และไม่ได้ตั้งคำถามต่อการตัดสินใจที่ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ว่า “มาห้าง ดูหนัง สั่งป็อปคอร์น” มันเป็นการเลือกที่ดีแล้วหรือยัง แค่เป็นสิ่งที่คุ้นๆ ว่าทำอะไรสักอย่างแล้วก็น่าจะมีอะไรที่ทำตามๆ กันไปเป็นสูตรสำเร็จ

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่นา ใครๆ ก็ทำ” หากจะเอะใจนึกอะไรขึ้นมาได้ คงไม่วายมีข้ออ้างทำนองนี้ในหัว

สถานการณ์หน้าเคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มและของว่างก็แน่นขนัดไม่แพ้บริเวณขายตั๋ว ที่โรงหนังแห่งนี้แม้จะมีถึงสามเคาน์เตอร์สั่งของและคิดสตางค์ แต่ลูกค้าก็มาออกันเป็นแถวยาวจนพนักงานทั้งกดน้ำ ตักข้าวโพดคั่วสารพัดรสจนมือไม้เป็นระวิง ผมเล็งดูแถวที่น่าจะสั้นที่สุดแล้วก็ไปยืนต่อท้าย ความจริงแล้วไม่ว่าจะแถวไหนก็มีสภาพคล้ายกัน คือโย้ไปเย้มา ยืนกองๆ กันบ้าง ไม่มีหรอกที่จะเรียงติดชิดกันเป็นระเบียบ อันนี้ก็สบายๆ ตามสไตล์คนไทยเรา

“ไม่เป็นไรหรอก รอก็แป๊บเดียว จะซีเรียสอะไรมากมาย” ถ้าจะรู้สึกขัดใจขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นคงบอกกับตัวเองทำนองนี้

กระทั่งแถวหดสั้นเข้า จึงได้เห็นว่าพนักงานที่ทั้งเก็บสตางค์ทอนเงิน กดน้ำ หยิบขนมและตักข้าวโพดแล้ว เธอและเขาเหล่านั้นยังต้องพูดประชาสัมพันธ์ผ่านเฮดโฟนเป็นระยะ แนะนำและเชิญชวนให้ลูกค้าซื้อเป็นชุดบ้าง บอกรายการส่งเสริมการขายบ้าง ช่างทำงานได้หลายอย่างในคราวเดียวจริงๆ ถึงตอนนี้ผมอยู่คิวที่สองแล้ว ลูกค้ารายก่อนหน้าเป็นชายวัยกลางคน ข้างหลังค่อนไปทางซ้ายน่าจะเป็นลูกหรือหลานชาย วัยราวๆ ประถมปลาย ช่วงไหล่ของน้องก็สูงประมาณเท่าเคาน์เตอร์

พลันที่พนักงานสาวคนคล่องรับสตางค์จากชายคนข้างหน้า เธอก็หันมาหาผมแล้วถามอย่างรวดเร็วว่ารับอะไรดีคะ ผมก็ตอบไปอย่างไวเช่นกันด้วยรายการน้ำขนมที่คิดรอไว้ จะได้ไม่เสียเวลา พนักงานชายก็ไวไม่แพ้กัน ได้ยินปั๊บก็รีบตักแล้วยื่นมาวางอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ผมก้มดูป๊อปคอร์นตรงหน้า สายตาก็พบกับน้องคนนั้น ยังยืนเกาะอยู่ที่เคาน์เตอร์ ในมือขวากำธนบัตรหลายใบไว้แน่น ผมรู้ทันทีว่า ทั้งผมและพนักงานได้ลัดคิวน้องเขาไปแล้ว แม้จะไม่ได้เจตนาก็ตาม ชั่วขณะนั้นในใจนึกขึ้นว่า เราไม่ได้ตั้งใจนะ และน่าสงสารน้องจัง คงเพราะตัวเล็ก คนขายเลยมองข้ามไป คิดยังไม่ทันไร พนักงานสาวก็เอ่ยปากทักไปยังลูกค้าหญิงข้างหลังผมเพื่อถามว่าจะรับอะไรดี ยังไม่ทันที่ผมจะทักท้วงจบประโยคว่า น้องเขามาก่อน เธอก็เหลือบมาเห็น พร้อมตกใจอุทานเบาๆ ว่า อุ๊ย ขอโทษนะคะไม่เห็นเลย

“ไม่เป็นไรมั้ง เราไม่ผิดนะ ไม่ได้ตั้งใจ ก็น้องเขายืนเฉยๆ ไม่พูดอะไรนี่นา” ผมอาจจะคิดอย่างนี้พร้อมกับเดินถือน้ำและขนมออกไปก็ได้ แต่ผมตัดสินใจก้มลงไปใกล้ๆ บอกน้องว่า “พี่ขอโทษนะครับ ที่พี่แซงคิวเราไปแล้ว”

ผมเดินออกมาห่างๆ แล้วมองน้องคนนี้ไกลๆ เขาเดินถือของไปหาแม่ที่ยืนรออยู่หน้าโรง แม้ยังไม่ทันได้ดูหนัง ผมก็ผ่อนคลายแล้วเพราะอิ่มใจ พร้อมกับรู้สึกใจหาย “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” เกือบเผลอไผลยอมมักง่ายตามใจให้ปล่อยผ่าน ทำตามอย่างกันไป เกือบไม่ได้ช่วยปลูกวินัยและการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันไปซะแล้ว

0 comments:

Post a Comment