พบพลัง


หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2555

ผมเพิ่งกลับจากการประชุมของเครือข่ายองค์กรภาคสังคมกลุ่มหนึ่งได้ไม่นาน แต่สิ่งที่ยังติดอยู่ในความคิดที่ยากจะลืมเลือนได้ง่ายๆ คือรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แววตาที่เป็นมิตร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่ว่า “เราน่าจะได้มาเจอกันให้บ่อยกว่านี้นะ มีอะไรเราจะได้ช่วยเหลือกัน”

ย้อนกลับไปราวสองเดือนก่อนที่การประชุมนี้จะเกิดขึ้น ตอนนั้นผู้ประสานงานการประชุมแทบจะกุมขมับแล้วถอดใจ อยากจะยกเลิกนัดหมายครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่เป็นเพราะตั้งใจไว้แล้วและมีงบประมาณสำหรับจัดกระบวนการให้แก่ตัวแทนจากองค์กรเครือข่ายร่วม ๒๐ กว่าแห่ง ด้วยว่าทุกองค์กรนั้นก็มีภารกิจมากมาย ตารางนัดหมายก็แสนแน่น ยิ่งถ้าตรงกับวันเสาร์อาทิตย์แล้วยิ่งยาก เพราะเป็นเวลาที่จัดกิจกรรมจิตอาสาบ้าง มีงานลงพื้นที่ชุมชนบ้าง

แต่สุดท้ายก็เกิดขึ้นจนได้ ชนิดที่เรียกว่าต้องตัดใจ ไปกันได้น้อยกว่าที่คาดก็ไม่เป็นไร และคนจำนวนหนึ่งติดพันภารกิจทำให้มาประชุมได้แค่ครึ่งทางก็ต้องกลับก่อนก็ไม่เป็นไร สุดท้ายการประชุมจึงเกิดขึ้นได้ในที่สุด

ตลอดเวลาสามวันของการประชุม ที่มีผู้เข้าร่วมสิบกว่าองค์กรจำนวนร่วมสามสิบกว่าคน เกือบครึ่งยังไม่เคยได้พบเจอกัน และมีถึงหนึ่งในสามที่ยังเป็นน้องใหม่ในวงการ บางคนเพิ่งทำงานมาได้เพียงสามเดือน บางคนก็สองปี เราจึงใช้กระบวนการทำความรู้จักกันไปพร้อมกับการทำความรู้จักงาน การรู้จักกันนั้นก็เป็นการเปิดเผยชีวิต บอกเล่าการเดินทางของชีวิต จุดพลิกผัน และการตัดสินใจครั้งสำคัญ จนถึงวันนี้ที่มีบทบาทหน้าที่อะไรอยู่ในองค์กรอยู่ในชุมชนของตน เป็นการรู้จักความเป็นมาของกันและกันที่มันเป็นหนึ่งเดียวกับงานที่ต่างคนได้เลือก และได้ภาคภูมิใจในงานของตน

ผ่านไปเพียงคืนแรก เราก็แทบจะเป็นเสมือนเพื่อนพี่น้องที่เข้าอกเข้าใจในหลายๆ เรื่องที่เราสนใจเหมือนๆ กัน และแทบจะเป็นเหมือนครอบครัวที่ยอมรับเคารพในความแตกต่างของความสนใจที่เรามีหลากหลายผิดแผกกัน พอถึงคืนสุดท้าย เราร่วมขับร้องเพลงคลอกัน เพลงต่างยุค ต่างอารมณ์ แต่ได้รับรู้สัมผัสถึงพลังชีวิตและแรงบันดาลใจของทุกๆ คน

พร้อมกันนั้น การประชุมยังบรรลุผลลัพธ์อันเลิศ เราได้แลกเปลี่ยนทักษะความรู้กันอย่างทั่วถึง ได้สรุปและถอดบทเรียนความรู้ที่แต่ละองค์กรได้ทำงานมาตลอดทั้งปี ได้เห็นทิศทางที่เราจะก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน และเกิดความเป็นไปได้ที่จะประสานให้ความช่วยเหลือกัน

สุดท้ายของการจากลา หลายคนบอกว่า “อยากจะพบกันอีก” และพูดแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า “เหมือนได้เติมพลัง ได้กลับมาพบที่ๆ ทำให้รู้สึกว่านี่แหละ คือ ที่ของเรา” ช่างเป็นประโยคสรุปการเดินทางของเวลาสามวันสองคืนที่งดงาม และเผยความรู้สึกดีๆ ออกมามากมาย เป็นถ้อยคำที่สะกิดใจเราว่า อะไรนะที่มันเคยยับยั้งรั้งเราเอาไว้จนเกือบไม่ได้มา อะไรนะที่เจียนจะทำให้เราพลาดโอกาสการได้สัมผัสกับพลังและการมาให้มารับกำลังใจจากกันและกัน

ภาระงานตรงหน้าอาจจะสำคัญและเร่งด่วนจริง จนทำให้หาเวลานัดหมายกันไม่ได้ จนกลายเป็นว่าต้องรีบจัดการสะสางให้เร็วขึ้นให้มากขึ้นอีก หลงลืมไปชั่วขณะว่าเราก็กำลังตกร่องกระแสความเชื่อหลักของการเน้นงาน พาลทึกทักไปว่าการมาพบปะเพื่อประชุมในวาระของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้มีความสำคัญในระดับรองลงไป ลืมไปว่าการหยุดพัก กลับมาทบทวนตัวเอง หันหน้าเข้าหาเพื่อเรียนรู้จากบทเรียนในชีวิตจริงของเพื่อน ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและงาน เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เยียวยาบาดแผลร่องรอยของการตรากตรำทำงาน และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้ชื่นชมความสำเร็จในงานของกันและกัน

การพักมาเพื่อพบได้มิตร เป็นการพักเพื่อเพิ่มพูนกำลัง เป็นพักที่มิได้ละเลยภาระ เป็นพักที่ได้พบปะ และย้ำบอกหัวใจเราอีกครั้งว่า การพบเพื่อเรียนรู้จากกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตและงานของเรา

0 comments:

Post a Comment