ล้างจาน



หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2554

ครั้งแรกที่ได้ยินคำว่า “ล้างจานเพื่อล้างจาน” ในงานภาวนาของสังฆะหมู่บ้านพลัมเมื่อ 7 ปีก่อน ผมยังเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อยในใจว่าการล้างจานก็ทำไปเพื่อจะได้ทำให้จานสะอาดน่ะสิ การบอกว่าล้างจานเพื่อล้างจานดูจะไม่เป็นกำปั้นทุบดินไปหน่อยหรือ

หลังจากได้รับคำอธิบายจึงได้เข้าใจมากขึ้นว่า การปฏิบัติตามแนวทางของหมู่บ้านพลัมนี้มีความลึกซึ้งในความเรียบง่ายธรรมดาอยู่มาก และสามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ไม่ยากเลย

อีกทั้งในระหว่างใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในกิจกรรมการภาวนานี้ แต่ละคนที่มาเข้าร่วมทุกเพศทุกวัยก็ดูจะใส่ใจกับการล้างจานเป็นอย่างดี รับประทานเสร็จก็ทะยอยยกจานกันไป ของใครของมัน เวลาล้างก็ค่อยๆ ล้าง ไม่รีบร้อน แทบไม่ได้ยินว่ามีเสียงพูดคุยกันในระหว่างล้างจาน เป็นภาพที่น่าชื่นชม และเชิญชวนให้ไปทำเองที่บ้านมาก

ครั้นกลับมาก็พบว่าไม่ง่าย ด้วยความที่บรรยากาศในสถานที่ภาวนา และผู้คนที่เป็นกัลยาณมิตรแวดล้อมนั้น ช่างเอื้ออำนวยให้เรามีใจจดจ่ออยู่กับงานปัจจุบันมาก ถึงคราวที่ต้องล้างจานก็เต็มที่กับภารกิจตรงหน้า ส่วนสถานการณ์ที่บ้านกลายเป็นอีกอย่าง หลายครั้งงานล้างจานเป็นภารกิจรีบด่วน ต้องรีบทำให้เสร็จ จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น หรือไม่ก็ล้างไปเบื่อไป อยากไปดูหนังฟังเพลงที่มันสนุกและผ่อนคลายกว่า บางครั้งตัวก็ยืนอยู่หน้าอ่าง มือก็ถือจาน ยังพบว่าใจกำลังลอยไป ปล่อยใจเพลิดเพลินกับการนึกถึงเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที

ช่วงค่ำได้มานั่งปฏิบัติภาวนาตามรูปแบบที่ทำเป็นประจำ จนเสร็จแล้วและกำลังผ่อนคลาย ทบทวนชีวิตตลอดทั้งวันดูถึงได้สังเกตเห็นว่า ประสบการณ์ที่มีในการภาวนาเทียบกับการล้างจานแล้วแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ระหว่างนั่งภาวนาก็มีทั้งเผลอคิด ใจลอย รู้สึกเมื่อย ซึ่งเป็นภาวะที่มีเกิดขึ้นในการล้างจานเหมือนกัน เพียงแต่ความมุ่งมั่นตั้งใจต่างกันเท่านั้น

ในการภาวนา ถ้ารู้ว่าเผลอหลุดคิดไปก็รีบกลับมาที่คำบริกรรม หรือตามลมหายใจ นั่นเพราะมีใจมุ่งมั่นศรัทธา เห็นว่าเป็นภารกิจสำคัญ แต่ในทางกลับกัน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในใจเลยสำหรับงานบ้านธรรมดาสามัญดังเช่นการล้างจาน มิน่าเล่า ทำไมเผลอใจในระหว่างล้างได้ง่ายดายและแทบไม่พยายามกลับมารู้เนื้อรู้ตัว

เช่นนี้แล้ว เพียงแค่เราเห็นความสำคัญและมีความมุ่งมั่นตั้งใจในภารกิจการงานใดๆ การงานนั้นก็ย่อมเป็นการปฏิบัติภาวนาให้เราเห็นสภาวะความเป็นไปของใจได้เช่นเดียวกัน

ล้างจานเพื่อล้างจานจึงเป็นให้สติมาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เป็นการดึงใจได้อยู่ในปัจจุบันกับกิจกรรมตรงหน้า หาใช่แค่งานบ้านที่ไม่ความสลักสำคัญ

การได้เผชิญโจทย์ว่าทำอย่างไรให้การล้างจานได้เป็นการเจริญสติ ยังเป็นความท้าทายสำหรับคนอีกกลุ่มที่เห็นการล้างจานเป็นความเพลินจนใช้เวลามากเกินไป ทำอย่างไรจะตั้งอยู่ในความพอดี

แนวทางของหมู่บ้านพลัมสอนว่า เราจงถือเอาการล้างจานเสมือนหนึ่งการขัดถูทำความสะอาดหิ้งพระและแท่นบูชา ล้างจานแต่ละใบในมือประหนึ่งกำลังทำความสะอาดให้องค์พระพุทธ ด้วยเจตนานี้เอง ทำให้เราทำงานบ้านด้วยความศรัทธาและตั้งใจ เห็นความหมายและคุณค่าแห่งการฝึกตนอยู่ในงาน

กิจกรรมทุกประการในชีวิตประจำวันจึงสามารถให้บทเรียนและฝึกให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ ใช่เพียงแต่การปฏิบัติภาวนาตามรูปแบบเท่านั้น ล้างจานได้ก็ย่อมล้างใจได้ ชีวิตที่มีงานสารพัดสารพันแต่ละวันก็ย่อมสามารถเป็นชีวิตที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ฝึกฝนให้เท่าทันใจได้เช่นกัน

1 comments:

leng said...

แวะมาล้างจานครับ

Post a Comment